9/30/2552

ความรักของแม่








เนื้อเพลงเรารักแม่

เนื้อเพลง: เรารักแม่


อัลบั้ม: คิดถึงแม่ : เรารักแม่

ดู เนื้อเพลง ทุกเพลงของ รวมศิลปิน RS

ถ้ามีใครสักคนที่อดทนทุกเวลา

พร้อมยอมเหนื่อยล้าเพื่อเราโดยไม่เกรง

ถ้ามีใครสักคนที่ยอมรับความเจ็บไว้เอง

คิดถึงตัวเองไม่เท่าเรา



ถ้ามีใครสักคนที่ตีเราทั้งน้ำตา

แล้วก็เป็นคนที่ทายาให้เรา

ถ้ามีใครสักคนที่คอยเช็ดตัวให้ทุเลา

ค่ำคืนที่เราไม่สบาย



ร้อยล้านความผิดของเราที่ใครเค้าไม่ใยดี

มีคนๆ นี้คนเดียวที่ให้อภัย

ปากบ่นว่าแสนระอา ว่าเราไม่ดีเท่าใคร

แต่ในใจก็รักไม่เปลี่ยน



อยากขอบคุณฟ้า ให้เรามาเป็๋นลูกแม่

รักดีดี รักไม่มีแต่ ไม่เคยได้รับจากใคร

มีเพียงคนนี้ ชีวิตก็วางให้ได้

คำเล็กๆ ที่ไม่ยิ่งใหญ่

อยากบอกด้วยหัวใจ เรารักแม่



ถ้ามีใครสักคนห่วงกังวลทุกนาที

แม้เราวันนี้เติบโตสักเท่าใด

ถ้ามีใครสักคนแอบไปร้องไห้อย่างน้อยใจ

เมื่อเราทำเป็นเหมือนรำคาญ



ร้อยล้านความผิดของเราที่ใครเค้าไม่ใยดี

มีคนๆ นี้คนเดียวที่ให้อภัย

ปากบ่นว่าแสนระอา ว่าเราไม่ดีเท่าใคร

แต่ในใจก็รักไม่เปลี่ยน



อยากขอบคุณฟ้า ให้เรามาเป็๋นลูกแม่

รักดีดี รักไม่มีแต่ ไม่เคยได้รับจากใคร

มีเพียงคนนี้ ชีวิตก็วางให้ได้

คำเล็กๆ ที่ไม่ยิ่งใหญ่

อยากบอกด้วยหัวใจ เรารักแม่



อยากขอบคุณฟ้า ให้เรามาเป็๋นลูกแม่

รักดีดี รักไม่มีแต่ ไม่เคยได้รับจากใคร

มีเพียงคนนี้ ชีวิตก็วางให้ได้

คำเล็กๆที่ไม่ยิ่งใหญ่

อยากบอกด้วยหัวใจ



บอกกับฟ้าไม่ว่าชาติใด

ขอเป็นลูกแม่ได้ไหม ทุกชาติเลย

ตำนานความรักกับดวงจันทร์

ตำนานความรักกับดวงจันทร์

....นานมา...แล้วสมัยที่โลกยังมีพระจันทร์สองดวง
มีดวงจันทร์ดวงหนึ่งเป็นผู้หญิงและอีกดวงเป็นผู้ชาย
ดวงจันทร์ทั้งสองดวงนี้ต่างรักกันมาก ดวงจันทร์ทั้ง
สองจะส่องสว่างเคีงข้างกันในทุกๆคืนไม่แยกจากกัน
แต่แล้ว...
วันหนึ่งดวงจันทร์ผู้หญิงได้ไปพบเจอกับดวงอาทิตย์
แล้วเกิดหลงใหลในความเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ จน
เลื่อนตัวไปตามดวงอาทิตย์ทีละน้อย...ทีละน้อย จน
แยกจากดวงจันทร์ผู้ชายในที่สุด เมื่อค่ำคืนมาถึงจึงมี
ดวงจันทร์ผู้ชายเหลือเพียงเดียว...ดวงจันทร์ผู้ชายเที่ยว
ตามหาดวงจันทร์ผู้หญิงไปทุกหนทุกแห่ง คืนแล้วคืนเล่า
วันเวลาล่วงเลยไปก็ม่สามารถตามหาพบ ด้วยความคิดถึง
และอยากพบเจอให้เร็วทีสุด ดวงจันทร์ผู้ชายจึงตัดสินใจ
ระเบิดตนเองเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทั่วทั้งจักรวาล เพื่อชิ้น
ส่วนแต่ละชิ้นออกตามหาดวงจัทร์ดวงนั้น
เมื่อเวลาผ่านไป......
ดวงจันทร์ผู้หญิงเริ่มเห็นความจริงว่า
แม้ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าและสวยงามมากเพียงใด
แต่-*-ดวงอาทิตย์ก็ไม่ได้เจิดจ้าให้เพียงเธอเท่านั้น ยังส่อง
แสงไปยังดาวอื่นๆอีกมากมาย ดวงจันทร์ผู้หญิงจึงกลับไปหา
ดวงจันทร์ผู้ชายอีกครั้ง แต่หาเท่าไรก็ไม่พบ ต่อทาจึงรู้ว่า
ดวงจันทร์ผู้ชายยอมระเบิดตนเองเพียงเพื่อตามหาเธอจนกระจัด
กระจายเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ ทำให้ดวงจันทร์ผูหญิงรู้ว่าจะไม่ได้พบ
กันอีกแล้ว จึงได้แต่โศกเศร้า และเสียใจ...
แต่ด้วยอานุภาพความรักที่ยิ่งใหญ่ที่ดวงจันทร์ผู้ชายมีให้ดวงจันทร์
ผู้หญิง ทุกค่ำคืนจึงพยายามเปล่งประกายแสงที่ยังเหลือเพียงน้อยนิด
ของตนให้ถึงดวงจันทร์ผู้หญิง จึงเกิดเป็นแสงพร่างพรายทั่วท้องฟ้า
เคียงข้างดวงจันทร์ผู้หญิง
จึงเกิดเป็นดวงจันทร์
และดวงดาวให้เราเห็น
ในทุกค่ำคืน หากเรามอง
ไปบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน
วันไหนที่ดวงจันทร์สวยงาม
วันนั้นก็จะไม่พบดวงดาว
วันไหนที่เห็นดวงดางเปล่ง
ประกายเต็มท้องฟ้ามืด วันนั้นก็จะไม่พบดวงจันทร์
เขา และ เธอ ไม่อาจเจอกันไปตลอดกาล

ตำนานความรักคิวปิด

ตำนานความรักคิวปิด Chapter 1

เรื่องเริ่มต้นที่ว่าไซคีนั้นเป็นหญิงสาวที่งดงามเทียมทัดเทพวีนัส จนพระนางเกิดความริษยา จึงสั่งให้คิวปิดบุตรของพระนาง ไปแผลงศรรักแก่ไซคีให้ตกหลุมรักกับคนที่น่าตาอัปลักษณ์ที่สุด หากแต่หารู้ไม่ว่าคิวปิดนี่แท้คือคนที่จะเป็นฝ่ายตกหลุมรัก ทางฝ่ายไซคีนั้น แม้จะเป็นหญิงงามควรเมืองชายทั่วสารทิศดั้นด้นเดินทางมาเชยชม แต่ก็หามีผู้ใดแต่งกับนางไม่ พี่สาวทั้งสองก็ออกเรือนไปก่อนแล้ว จนพระบิดาเป็นห่วง จึงไปขอความช่วยเหลือที่เทวสถานเดลฟี่ คำทำนายของเทพอพอลโลกล่าวว่า มีทางเดียวที่นางนั้นจะได้พบคู่ครองของนางคือ จะต้องออกจากบ้านเมืองแต่งกายเยี่ยงผู้ที่ไว้ทุกข์

นำเธอไปไว้ที่ริมผาเพียงลำพัง แลสัตว์อสูรอัปลักษณ์ที่ทรงพลังที่แม้แต่องค์เทพก็มีอาจทัดทาน จะมารับเธอไปเป็นภรรยาเมื่อพระบิดาได้ทราบดังนี้ก็ยังมาซึ่งความโศกเศร้าเสียใจแต่ก็ไม่มีผู้ใดฝ่าฝืนคำทำนายได้ จึงตระเตรียมตามที่คำทำนายกล่าว ผู้คนทั้งราชวังต่างตกอยู่ในความโศกเศร้าไซคีนั้นแต่งกายไว้ทุกข์นั่งอยู่ริมผาอย่างโดดเดี่ยว จนในที่สุดเทพแห่งลม Zephyr ก็มารับไซคี

ลมหอบไซคีขึ้นไปสู่ปราสาท ที่แห่งนี้มีแต่ความมืด นางได้ยินเสียงของคนดังขึ้นซึ่งรู้ว่านั่นจะต้องเป็นเสียงสามีของนาง เสียงนั้นกล่าวว่านางจะได้อยู่ที่นี่อย่างมีความสุข ขอเพียงอย่างเดียว

จงอย่าพยายามที่จะหาตัวจริงของเสียงนี้ นางก็ตกลง และนางก็อยู่ดีมีความสุขเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งพี่สาวของนางร่ำไห้เรียกร้องหานาง ไซคีเองก็มิอาจห้ามความคิดถึงพี่ทั้งสองได้

แต่เสียงสามีของนางได้เตือนนางแล้วว่าจงอย่าพบกับพี่สาว

เพราะทั้งสองคนจะนำความพินาศย่อยยับให้กับชีวิต แต่ด้วยความคิดถึงและผูกพันนางจึงมิอาจทนได้อ้อนวอนว่าจะระวังให้ดีที่สุด เมื่อทั้งสามได้พบกันนั้นก็ร่ำไห้ด้วยความคิดถึง ไซคีพาพี่สาวทั้งสองทานข้าวพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ส่วนพี่ทั้งสองนั้นได้เห็นว่าไซคีได้อยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตก็บังเกิดความริษยาในใจ

เป่าหูไซคีว่าสามีของนางนั้นที่ไม่ยอมปรากฏตัวเช่นนี้ต้องเป็นปีศาจร้ายแน่ๆ อาจจะรอวันทำร้ายนาง จึงบอกให้นางแอบย่องไปดูตอนกลางคือและฆ่ามันซะ ไซคีเริ่มหวั่นใจแม้ในใจจะไม่อยากทำลายข้อห้ามนั้น แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าหากสามีของนางนั้นไม่ได้เป็นปีศาจจริงแล้ว ก็ไม่น่าจะต้องหลบซ่อนเยี่ยงนี้ ดึกคืนนั้นเองนางจึงจุดตะเกียงและเตรียมมีดหมายจะปลิดชีพหากสามีของนางนั้นเป็นสัตว์ร้าย.......

แต่เมื่อเปิดผ้าออก นางก็ต้องตะลึงกับรูปโฉมงามของชายหนุ่มข้างหน้า ด้วยความตื่นตระหนก นางได้ทำน้ำมันตะเกียงหยดใส่คิวปิด คิวปิดรู้ตัวและรู้แล้วว่านางได้ทำผิดสัญญาและรีบบินจากไปอย่างรวดเร็วเมื่อนางได้เห็นเช่นนี้แล้ว จึงตระหนักแล้วว่าสามีของนางนั้นหาใช่คนธรรมดาหรือปีศาจร้าย แต่เป็นเทพแห่งความรักนั่นเอง นางรู้สึกผิด แต่ก็ไม่รู้จะไปตามหาคิวปิดได้ที่ไหนท้ายที่สุดจึงต้องบากหน้าไปหาแม่สามี วีนัสได้ทีเลยทีนี่ วีนัสกลั่นแกล้งไซคีให้ทำภารกิจสี่อย่าง


1.แยกเมล็ดข้าวก่อนรุ่งสาง

2.เอาขนแกะทองคำจากแกะกินคน

3.นำน้ำจากทะเลดำ

4.นำความงามจากเทพีแห่งโลกบาดาล

ทุกภารกิจล้วนแล้วแต่ยากลำบากแต่ไซคีก็ผ่านมาได้ตลอดจนกระทั่งภารกิจสุดท้าย ไซคีเปิดกล่องของเทพีแห่งโลกบาดาลจนต้องหลับใหลไปฝั่งคิวปิดนั้นเมื่อเยียวยาแผลที่โดนน้ำมันแล้ว ก็ถูกวีนัสจับขังไว้ แต่หากแม้ประตูปิดกั้น แต่หน้าต่างยังเปิดเสมอ คิวปิดจึงรีบโผบินตามหาไซคีจนเจอในที่สุดทั้งสองก็ได้พบกันคิวปิดไปหาจูปิเตอร์ (ซุส) เพื่อขอให้ทำพิธีแต่งงานให้ จูปิเตอร์กล่าวว่า "แม้เจ้าจะทำให้ข้าตกที่นั่งลำบากมาหลายต่อหลายครั้ง แต่เอาเถอะข้าจะไม่ปฏิเสธ" จูปิเตอร์จึงทำพิธีแต่งงานให้ทั้งสองพร้อมมอบน้ำทิพย์ให้ไซคีดื่ม ทำให้นางมีร่างเป็นนิรันดร์ดุจดั่งทวยเทพ และทั้งสองก็อยู่อย่างมีความสุขสืบแต่นั้นมา

ตำนานรักขนมครก

ตำนานรักขนมครก (เศร้ามากมาย)


เรื่อง ตำนานขนมครก



คุณกะทิ หรือพ่อกะทิ ชายหนุ่มโผงผางผู้กำพร้าพ่อแม่อยู่ตัวคนเดียวพูดจริงทำจริง เอาการเอางาน เสร็จจากงานนาก็มารับจ้างขี่กระต่าย

(เหมือนเล่นขี่ม้าส่งเมือง) ส่งคนเข้าซอย ทุกคนในบ้านล้วนรักและเอ็นดูคุณทิ ยกเว้นผู้ใหญ่ปรั่ง เพราะผู้ใหญ่ปรั่ง มีลูกสาวสวยที่ดันมาหลงรักคุณทิ

ด้วยเช่นกัน แม่แป้ง ลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่ปรั่ง สาวสวยประจำหมู่บ้าน นางเจอกับคุณทิในวันลอยกระทงทั้งคู่ขี่กระต่าย

สัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงไรทั้งคู่ก็จะขอเอาความรักที่แท้จริงฝ่าฟันข้ามไป

แล้วคุณทิ ก็รวบรวมเอาเงินทองเท่าที่เก็บสะสมมา ได้ไปบ้านผู้ใหญ่ปรั่งเพื่อสู่ขอแม่แป้ง

ซึ่งผู้ใหญ่ปรั่งก็ต้อนรับอย่างดีด้วยชายฉกรรจ์ 6 คน พร้อมอาวุธครบมือ คุณทิก็ไม่ว่ากระไร

ได้แต่พาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้านนอนหยอดข้าวต้มหลายวัน ด้วยใจยังตั้งมั่นว่าวันหน้าจะมาขอใหม่

ขอไปจนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน ในที่สุดผู้ใหญ่ปรั่งก็ปิดหนทางความรักของคุณทิ ด้วยการคลุมถุงจัดงานแต่งงานให้ลูกสาวกับ

ปลัดหนุ่มจากบางกอก คุณทิรู้ข่าว รีบวิ่งทุรนทุรายหมายจะทำลายพิธี ซึ่งผู้ใหญ่ปรั่งก็รู้ดีว่าคุณทิต้องมาทำแบบนี้จึงขุดหลุมพรางดักรอไว้

แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้ายก็แอบหนีหมายจะห้ามคนรักไม่ให้หลงกล…..

เหตุการณ์ต่อไปนี้ ไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์แต่ได้ปะติดปะต่อ จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ปากต่อปากมาว่า.....

คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม.....



แม่แป้งแอบวิ่งฝ่าความมืดออกมาดักหน้าคุณทิ คุณทิเห็นแม่แป้งดีใจรีบไปหา

แม่แป้งเห็นคุณทิ รีบวิ่งมา รีบวิ่งเข้าไปหาให้เร็วขึ้นไปอีก ฉับพลัน….ร่างของแม่แป้งก็ร่วงหล่นไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ปรั่งต่อหน้าต่อตาคุณทิทันที

อารามตกใจคุณทิรีบกระโดดลงไปเพื่อช่วยเหลือ แต่สมุนชายฉกรรจ์ทั้ง 6 นายของผู้ใหญ่ปรั่งไม่ทันนึก รีบเข้ามาโกยดินฝังกลบเพราะคิดว่าที่ก้นหลุมมีเพียงคุณทิผู้เดียวที่อยู่ในนั้น



รุ่งเช้า…..ผู้ใหญ่ปรั่งเดินอมยิ้มเข้ามาขุดหลุมเพื่อดูผล ภาพเบื่องล่างพบคุณทิตระกองกอดร่างแม่แป้งลูกสาวของตน นอนตายคู่กันอย่างมีความสุข

เมื่อยิ้มถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตา ผู้ใหญ่ปรั่งสั่งลูกสมุนสร้างเจดีย์ คลุมครอบปิดหลุมนั้นไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจคนทั่วไปว่าอย่าคิดทำร้าย

หรือทำลายความรักของใครอีกเลย…

สถานที่ตั้งเจดีย์นั้นไม่มีใครรู้แน่นอนจะมีกันก็แต่เพียงอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณีทุกแรมหกค่ำเดือนหก

ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของคุณทิกับแม่แป้งจะตื่นตั้งแต่เช้ามืด เข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวาน

ปรุงจากแป้งและกะทิ บรรจงแคะจากพิมพ์แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่าจะได้อยู่

ร่วมกันตลอดไป



ขนมนี้เรียกกันในนาม ขนมแห่งความรักหรือ ขนมคนรักกัน ที่เรียกกันย่อๆว่า ขนม ค.ร.ก

ต้นกำเนิดของมนุษย์

ต้นกำเนิดมนุษย์




นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้ตั้งสมมติฐานว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกเกิดเมื่อ 4,000 ล้านปีมาแล้ว ซึ่งตอนนั้นชั้นบรรยากาศโลกประกอบด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน และน้ำ ซึ่งองค์ประกอบที่ซับซ้อนดังกล่าวทำให้เกิดการสังเคราะห์แสงทางโมเลกุล เช่น เมื่อรังสีอุลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์สาดส่องมายังชั้นบรรยากาศโลก ก็ทำให้เกิดการสังเคราะห์เป็นกรดอะมิโนขึ้น ซึ่งในการทดลองพบว่าเมื่อกรดอะมิโน พูรีน และพีรามิดีน (ซึ่งสร้างดีเอ็นเอ) รวมถึงโมเลกุลของสารอื่นๆ ทำปฏิกริยาให้มีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น



สิ่งมีชีวิตช่วงแรกนี้จะมีรูปแบบเหมือนกับแบคทีเรีย และจากนั้นก็ค่อยๆพัฒนามาเป็นพืช และสัตว์ในปัจจุบัน แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ก็มีการสร้างและพัฒนาที่ซับซ้อน ผ่านวิธีการที่เรียกว่า Reproduction มานับครั้งไม่ถ้วน นักวิทยาศาสตร์ค้นพบสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จากการตรวจสอบเซลล์ของซากฟอสซิลในที่ต่างๆ อย่างที่ออสเตรเลีย พบฟอสซิลมีอายุ 3,500 ปี นอกจากนี้เราจะเห็นได้ว่าสิ่งมีชีวิตในอดีต อย่างไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปเมื่อเกิดปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงบนโลก ขณะที่มนุษย์กำเนิดขึ้นมาภายหลัง เชื่อว่ามนุษย์พัฒนาการมาจากสัตว์จำพวกลิง โดยมนุษย์มีรูปร่างโครงสร้างใกล้เคียงกับ African Apes มากที่สุด เท่าที่จะหาได้ ซึ่งซากฟอสซิลของลิงสายที่พัฒนามาเป็นสายพันธุ์มนุษย์ (Hominid) ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ค้นพบได้อายุ 3.5 ล้านปีมาแล้ว พบที่เอธิโอเปีย ส่วนที่อายุน้อยลงมาหน่อยคือ 1.5 ล้านปี ก่อนมีสมองที่ใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตามเรื่องกำเนิดมนุษย์ยังไม่เป็นเรื่องที่ฟันธง ต้องศึกษาต่อไป

9/29/2552

รู้ทัน ‘คนไร้ค่า’ (Dead Wood)

รู้ทัน ‘คนไร้ค่า’ (Dead Wood)



ดร.โสภณ พรโชคชัย (sopon@thaiappraisal.org)



ใน สังคมไทยทุกวันนี้ มีคนที่ดูดี เป็นผู้ดี มีธรรมะชูคออยู่มากหลาย คนเหล่านี้โดยมากจะพูดจารื่นหู ดูมีศาสนา แต่นั่นเป็นแค่เปลือกนอก ความจริงหลายคนเป็น ‘คนไร้ค่า’ เป็นยิ่งกว่า ‘ไม้แก่ดัดยาก’ คือมีสถานะคล้าย ‘แตงเถาตาย’ หรือฝรั่งเรียกว่า Dead Wood (ไม้ที่ถูกตัดจากตอแล้ว) ไม่อาจเติบโตได้อีก ได้แต่รอวันเน่าเปื่อยไปมากกว่า

.

บุคคลไร้ค่าเหล่านี้ไม่ได้มีส่วน ช่วยพัฒนาชาติ และอาจกีดขวางความเจริญ รวมทั้งยังอาจ ‘กลายพันธุ์’ ถึงขั้นทำลายชาติหากเพิ่มความเลวเข้าไปด้วย บทความนี้จึงมุ่งชี้ให้เห็นถึงวิธีสังเกตว่า ‘คนไร้ค่า’ และคนชั่วนั้นเป็นเยี่ยงไร เพื่อว่าเราจะได้รู้ทัน ไม่ตกเป็นเครื่องมือของคนเหล่านี้ และไม่กลายเป็นคนเหล่านี้เสียเอง

.

.

ลักษณะ 8 ของคนไร้ค่า

.

บุคคลผู้เป็น ‘คนไร้ค่า’ มักมีลักษณะสำคัญครบถ้วนทั้ง 8 ประการดังต่อไปนี้:

.

1. ชมชอบชอบเสพสุข (Hedonist) ในรูปแบบต่าง ๆ ในฐานะผู้ได้เปรียบในสังคม เช่น ไปเที่ยวโสเภณี (ราคาแพง) ชอบกีฬาแฟชั่นทั้งหลาย เป็นพวก ‘นิยมวัตถุ’ ซึ่งต่างจาก ‘วัตถุนิยม’ (materialism) ที่เป็นหลักปรัชญาที่ตรงข้ามกับ ‘จิตนิยม’ (idealism) จะสังเกตได้ว่าพวกนี้รักสุขภาพสุดชีวิต กะจะมีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน แต่น่าเสียดายที่เป็นได้แค่ ‘แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน’ เพราะนอกจากเสพสุขแล้ว ก็แทบไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเพื่อคนอื่น

.

2. ไม่ใฝ่ใจศึกษา: พวกเขามักเป็นคนที่ขี้เกียจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ บ้างก็ทำตัวเป็น ‘ชาล้นแก้ว’ บางคนอาจทำการศึกษาแต่ใช้วิธีการ ‘ยืมจมูกคนอื่นหายใจ’ ไม่ลงมือปฏิบัติเอง หรือเข้ารับการศึกษาโดยไม่ใช่เพื่อหาความรู้แต่เพื่อเข้าคลุกวงใน (networking) มากกว่า คนเหล่านี้มักเป็นพวก ‘แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน’ ไม่ทันความรู้ใหม่ ๆ ยกเว้นการจำคำพูดคนอื่นมาคุยโตไปวัน ๆ

.

3. ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง: เมื่อไม่รู้จริง ก็มักเกลียด กลัวและต่อต้านการเปลี่ยนแปลงที่เป็นคุณต่อส่วนรวมแต่กระทบในทางลบต่อตนเอง กลัวตนเองจะหมดบทบาทในสังคมก้าวหน้า คนเหล่านี้มักเป็นผู้มีสถานะดีในสังคมหรือมีอาชีพน่ายกย่อง เช่น อาจารย์ แพทย์ หรือนักวิชาชีพชั้นสูงอื่น แต่ทั้งนี้ถือเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลไม่ได้เหมารวมยกเข่งทั้งวงการ ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้แม้อยู่ในวงการศึกษาหรือวงวิทยาการชั้นสูง ก็ไม่ค่อยเปิดรับสิ่งใหม่ ถือตนว่ามีใบปริญญาบัตรแต่แท้จริงไม่ใช่ปัญญาชน เราจึงเห็นนักวิทยาศาสตร์ (ที่ทำงานแบบกลไกไปวัน ๆ ) ผู้กลับงมงายในไสยศาสตร์

.

4. ชอบทำดีเอาหน้า: ทั้งนี้เพื่อสร้างภาพหรือเพื่อลวงให้คนอื่นเข้าใจว่าตนเป็นคนดี จึงเป็นการทำดีแบบ ‘ลูบหน้าปะจมูก’ ‘ผักชีโรยหน้า’ หรือ ‘ไฟไหม้ฟาง’ คล้ายกับพวกคุณหญิงคุณนายที่เที่ยวแจกของเพื่อให้ตัวได้รับเกียรติยศ แต่สังคมก็แทบไม่เคยดีขึ้นเพราะความดีฉาบฉวยดังกล่าว หากสังเกตให้ดี คนเหล่านี้บางคนไปร่วมกิจกรรมทำดีโดยไม่ออกเงินตัวเองสักบาท หรือออกเงินแต่น้อย (แต่ออกข่าวใหญ่โต) หรือใช้สถานะของตนเองไป ‘ไถ’ เงินผู้อื่นมาทำดี อาจกล่าวได้ว่า ในความเป็นจริง คนเหล่านี้เป็นคนขี้เหนียว ไม่ใช่คนใจกว้างจริงแต่อย่างใด

.

5. มีความเป็นเจ้าขุนมูลนายสูง: ทั้งนี้คล้ายกับที่มักปรากฏในภาพยนตร์น้ำเน่าประเภท ‘ผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน’ หรือ ‘หนังจักร์ ๆ วงศ์ ๆ’ บุคคลที่ชอบทำตัวเป็นเจ้าขุนมูลนายเช่นนี้ มักทำไปเพื่อลบปมด้อยของการเป็นคนระดับล่างในอดีต หรือหวังยกระดับตนเองให้มีฐานะดูเหนือผู้อื่น หรือเป็นพวกจมไม่ลง คนเหล่านี้มีความชมชอบที่จะให้คนอื่นยกย่อง เอาใจ และมักเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง (self-centredness) ซึ่งแสดงว่าคนเหล่านี้ไม่คิดถึงใครอื่นอีกเลย

.

6. สยบยอมต่อผู้มีอำนาจ: ในขณะที่ตัวเองมีความเป็นเจ้าขุนมูลนายสูงมาก แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มักเป็นคนสยบยอมกับผู้มีอำนาจเหนือกว่าโดยดุษฎี การนี้แสดงว่าคนเหล่านี้ยินดี ‘เลีย’ หรือทำงานด้วยลิ้น เพื่อหวังให้ตนเองได้ก้าวหน้าในธุรกิจหรือการงาน และหากจำเป็นจริง ๆ คนเหล่านี้ไม่ว่าเพศใด ก็อาจยินดีเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตน คือนอกจาก ‘พายเรือให้โจรนั่ง’ แล้ว ยังยอมให้ ‘โจรพายเรือให้ตนนั่ง’ (ประสบความสำเร็จโดย ‘โจร’ สนับสนุน) เสียอีก ลองสังเกตในวงการรอบตัวเราให้ดีว่าเราพบตัวอย่างเช่นนี้อยู่บ้างหรือไม่

.

7. เฉยชากับความไม่เป็นธรรมโดยถือคติว่า ‘ธุระไม่ใช่’ หรือไพล่ไปโทษบาปกรรมแต่ชาติปางก่อน พวกเขาไม่ใช่คนประเภท ‘ตัวสั่นทุกครั้ง (ทนไม่ได้) ที่เห็นความอยุติธรรม’ แต่อย่างใด พวกเขายินดีวาง ‘อุเบกขา’ โดยถือคติ ‘วัวเขาจะหาม อย่าเอาคานเข้าไปสอด’ ‘พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง’ หรือ ‘เอาหูไปนา เอาตาไปไร่’ กับเรื่องอะไรก็ตามที่แม้จะเสื่อมเสียศีลธรรมหรือผิดกฎหมายก็ตาม ตราบเท่าที่ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์

.

8. ชอบห่อหุ้มด้วยศาสนา: ทั้งนี้เพื่อใช้ศาสนาเป็นอาภรณ์หรือเครื่องมือโฆษณาให้ตนดูดี และเพื่อบำบัดความอ่อนแอทางจิตซึ่งอาจเป็นผลจากการทำบาป (อยู่เนือง ๆ) คนเหล่านี้เปลือกนอกดูสงบงาม พล่ามจริยธรรม ชอบชวนคนเข้าวัด แต่แท้จริงสุดรุ่มร้อน ลักษณะเด่นของคนเหล่านี้ก็คือ ‘เสพติด’ การนั่งสมาธิ (แต่อย่าเข้าใจผิดว่าคนดีที่นั่งสมาธิเป็นคนเช่นนี้ไปด้วย) คือแทนที่นั่งแล้วจะเกิดความสงบ กลับยิ่งทำให้เห็นนิมิตต่าง ๆ และยิ่งเป็นการแบ่งชนชั้นมากขึ้นเพราะไปอ้างอิงถึงการสั่งสมบุญเก่าแต่ อดีตชาติเพื่อข่มคนอื่น คนเหล่านี้มักไม่เอาแก่นศาสนา แต่มักเพี้ยนไปเน้นกระพี้ เช่น เรื่องพิธีกรรม ชาดก ไสยศาสตร์ ชาติก่อน-ชาติหน้า หรือเครื่องรางของขลัง เป็นต้น

.

.รู้ทัน ‘คนไร้ค่า’

.

ใน แง่ของพลังสร้างสรรค์ ใฝ่เรียนรู้ ใจกล้าหาญ คิดก้าวหน้า ออกแรงปฏิบัติหรือออกเงินหนุนนั้น พวก ‘คนไร้ค่า’ ยังอาจมีสิ่งเหล่านี้น้อยกว่า ‘ยัยแจ๋ว’ ‘สาวฉันทนา’ ยามหน้าหมู่บ้าน หรือคนขับสามล้อ พวกเขามักกลัวการสูญเสีย เข้าทำนอง ‘ตะปูตำเท้าตัวเดียว ก็ลืมโลกไปทั้งโลก’ (มัวแต่ร้องโอดโอยสงสารตัวเอง) การดำรงอยู่ของ ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้จึงไม่ใช่ ‘อยู่อย่างยิ่งใหญ่ ตายอย่างมีเกียรติ’ แต่เป็นพวก ‘อยู่อย่างเหลวไหล ตายอย่างไร้ค่า’ เสียมากกว่า

.

ประวัติ ศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้ไม่ได้รักชาติจริง หรือรักชาติแต่ปากหรือรักตามแฟชั่นหรือตามคนอื่น ถ้าถึงคราวสิ้นชาติ เช่น ลาว เขมร และเวียดนามในยุคสงครามอินโดจีน พวกนี้แหละที่จะหนีไปก่อน เพราะพวกเขาเห็นว่าชีวิตของตนมีค่ามากกว่าจะเอามาทิ้งไว้ในแผ่นดินเกิด และคนที่จะยังอยู่สร้างชาติให้พวกนี้กลับมาตุภูมิ มาทำธุรกิจอีกครั้งหนึ่งก็คือสามัญชนคนธรรมดานั่นเอง

.

อย่างไรก็ตาม ‘คนไร้ค่า’ เหล่านี้ มีอาการที่ตรงกันอย่างหนึ่งก็คือ มักจะ ‘อับอายจนกลายเป็นโทสะ’ หรือ ‘โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ’ อยู่เสมอ หากมีใครสามารถ ‘จับได้ไล่ทัน’ หากสังเกตให้ดี พวกนี้ชมชอบที่จะใช้กลยุทธ์ ‘พวกมากลากไป’ มีพิธีกรรม มีศัพท์แสงหรือวาทกรรมเฉพาะที่ดูดี ใครไม่เข้าสังคมในกลุ่มเช่นตน มักจะถูก ‘โดดเดี่ยว’

..

กลายร่างเป็น ‘คนชั่ว’

.

เมื่อ พิจารณาถึงโอกาสและแนวโน้มแล้ว บุคคลข้างต้นอาจมีพัฒนาการขั้นสุดท้ายจนกลายเป็นคนชั่วที่สร้างความเสื่อม เสียต่อตนเองและคนอื่น หากเป็นผู้มีอำนาจทางการเมืองก็อาจทรยศและสร้างความวิบัติต่อประชาชน ทั้งนี้ ‘คนไร้ค่า’ ข้างต้นจะต้องมีลักษณะอีกข้อหนึ่งคือ ‘ร่วมขบวนการโกงกิน’

.

โดยในกรณีบุคคลในภาคราชการ มีตัวอย่างเช่น พวกที่ ‘ซื้อตำแหน่ง’ คนเหล่านี้มักฝ่าฟันสู่ตำแหน่งด้วยความชั่วร้าย เช่น ‘ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน’ จึงมักไม่ละอายที่จะกอบโกยโดยไม่สมควร โกงประเทศชาติและประชาชน จะสังเกตได้ว่าในหน่วยราชการที่ไม่ค่อยมีผลประโยชน์ ลูกน้องไม่ต้องเอาใจนายมากนัก อย่างมากก็ถือคติ ‘รับใช้นายจนพอแรง’ แต่ทำไมในส่วนราชการบางแห่ง ลูกน้องจึงต้อง ‘เลีย’ นายแบบ ‘เลี้ยงดูปูเสื่อ’ สุดชีวิต หากไม่ใช่เพราะหวังจะได้ผลประโยชน์มหาศาลที่ยินดีแลกด้วยการลดศักดิ์ความ เป็นมนุษย์ของตนเองลง

.

ส่วนบุคคลในภาคเอกชนก็ได้แก่พวกที่อาศัยทำการ ค้าเอาเปรียบคนอื่น โดยได้รับสัมปทานด้วยการใช้เส้นสนกลในและการจ่ายใต้โต๊ะ บุคคลในภาพยนตร์เช่น ‘อาเหลียง’ นั้น ไม่ใช่รวยล้นฟ้าเพราะการอดออมเป็นสำคัญ แต่เพราะสามารถได้ใบอนุญาตทำธุรกิจกึ่งผูกขาด และอาศัยเส้นสายทางการเมืองชิงความได้เปรียบ เหยียบหัวคู่แข่งอื่นอย่างไม่เป็นธรรมต่างหาก

.

อาจกล่าวได้ว่าคหบดี ที่รวยปกตินั้น ต่างมาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองเป็นสำคัญ แต่บุคคลผู้ร่ำรวยผิดปกตินั้น ต้องตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่าไปโกงเขามา ถ้าสืบประวัติดูแล้วบุคคลที่ร่ำรวยผิดปกตินั้นไม่ได้โกงมา ก็พึงตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่า พ่อเขาคงโกงมา หรือถ้าพ่อเขาไม่.โกงมา ก็คงเป็นปู่เขา (บุคคลรุ่น ‘อาเหลียง’ โกงมา) ‘เก่งบวกเฮง’ ไม่อาจส่งให้ใครรวยล้นฟ้าแต่อย่างใด

.

คนชั่วในภาครัฐและภาคเอกชนเหล่านี้แหละที่จะมารวมกันสร้างกลไกครอบงำประเทศ ทำให้ประเทศชาติเป็นที่ตักตวงผลประโยชน์ส่วนตัวในที่สุด

..

ส่งท้าย: ช่วยกันสังเกตหน่อย

.

คน ที่ยังมีความหวังที่จะเป็นทรัพยากรของชาติ หรือเป็นผู้นำพาการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) นอกจากจะต้องพยายามขัดเกลาตัวเองให้มีคุณสมบัติที่ดีต่อไปแล้ว ยังพึงระวัง ‘คนไร้ค่า’ และ ‘คนชั่ว’ ในคราบคนดีเหล่านี้ที่อาจเขามากีดขวางหรือทำลายความเจริญของประเทศชาติ สิ่งที่พึงทำได้ก็คือ

.

1. คนหนุ่มสาว ต้องพิจารณาคนวัยกลางคนที่มีความเสี่ยงเป็น ‘Dead Wood’ เช่นนี้

.

2. นักศึกษา ต้องจับตาดูอาการของอาจารย์บางคนที่อาจมีลักษณะเพี้ยนเช่นกัน

.

3. ‘ยัยแจ๋ว’ ‘ยัยเอี้ยง’ ‘ยัยเอื้อง’ ต้องพิจารณาคุณผู้ชาย คุณผู้หญิงของตนเองไว้ให้ดี

.

4. ลูกน้องก็พึงสังเกต ‘เจ้านาย’ ให้ดีว่าได้กลายร่างเป็นคนเช่นนี้หรือยัง

.

5. ‘สามล้อ’ หรือ ‘แท็กซี่’ ต้องคอยดูและช่วยกันจับตาดูบุคคลประเภทนี้ในสังคม เป็นต้น

.

.

ช่วย กันรู้ทันและช่วยกันเปิดโปง และช่วยกันระวังไม่ให้ตนเองถลำลึกไปเป็น ‘คนไร้ค่า’ เช่นนี้ อย่าลืมว่าเกิดมาต้องสร้างสรรค์ ต้องทำดีเพื่อชาติ ไม่ใช่เป็นสวะลอยน้ำไปวัน ๆ

น่าเสียดาย (ธรรมจักร)

น่าเสียดาย (ธรรมจักร)


น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ



น่าเสียดายที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี

แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง



น่าเสียดายที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล

แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป



น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475

แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว14 ครั้ง



น่าเสียดายที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก

แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา



น่าเสียดายที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์

แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา



น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง

แต่เรากลับเก่ง "การลอกเลียนแบบ" เป็นที่สุด



น่าเสียดายที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน

แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า



น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย

แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา



น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด

แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ8 บรรทัด



น่าเสียดายที่เรามีอินเทอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม

แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊



น่าเสียดายที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง

แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า



น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน

แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา



น่าเสียดายที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้

แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล



น่าเสียดายที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้

แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก



น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้

แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน

ทำไมลูกไก่จึงข้ามถนน?

ทำไมลูกไก่จึงข้ามถนน?

Albert Einstein:

หือ.. คุณทราบได้ไง ว่าลูกไก่ข้ามถนนหรือถนนเคลื่อนที่ลอดลูก ไก่กันแน่?



Isaac Newton:

1. ไก่ที่อยู่กับที่ ก็พยายามจะอยู่กับที่

ไก่ก็เคลื่อนที่ก็มีแนวโน้มจะข้ามถนน

2. มันถูกผลักโดยไก่ตัวอื่น

3. มันถูกดึงโดยไก่ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของถนน



Stephen Hawkings:

มันถูกกำหนดมาตั้งแต่วินาทีแรกที่เกิดบิกแบงแล้ว!



Charles Darwin:

เพราะนั่นเป็นการกระทำที่สมเหตุสมผลหลังจากที่มันลงจาก ต้นไม้แล้ว ลูกไก่ตัวที่เหมาะสมที่สุดจะข้ามถนน



Bill Gates:

การที่ลูกไก่ข้ามถนนไปนั้น ไม่ใช่นโยบายของ ไมโครซอฟต์แม้แต่น้อย ขณะนี้ไมโครซอฟต์ได้อุดช่องทางที่ ลูกไก่เล็ดรอดออกไปเรียบร้อยแล้ว



Linus Torvald:

ถนนก็เหมือนกับ sex ยิ่งข้ามฟรียิ่งดี ทำไมลูกไก่จะไม่ข้าม



อคิมีดีส:

ถ้าหาคานยาวๆและจุดหมุนที่เหมาะสมให้ลูกไก่ได้ล่ะก้อ มันก็จะไม่ต้องลำบากเดินข้ามถนนเองร๊อก..



John F. Kenedy:

อย่าถามว่าลูกไก่จะข้ามถนนหรือไม่ แต่จงถามว่าถนนจะยอมให้ลูกไก่ข้ามหรือป่าว



เติ้งเสี่ยวผิง:

จะไก่ดำหรือไก่ขาวก็ไม่สำคั ขอให้ข้ามถนนได้สำเร็จก็พอ



นายพลแมคอาเธอร์:

Chickens shall return!



Neil Armstrong:

ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ก้าวเล็กๆของลูกไก่ตัวหนึ่ง แต่มันเป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งให่ของมวลหมู่ลูกไก่ทั้งหลาย



นโปเลียน:

ลูกไก่เดินข้ามถนนได้ด้วยท้อง



โธมัส เอลวา เอดิสัน:

ถึงลูกไก่จะข้ามถนนไม่สำเร็จในความพยายยามหนึ่งพัน ครั้ง แรก ก็ไม่ได้แปลว่ามันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยๆ ลูกไก่ก็รู้วิธีที่จะข้ามถนนไม่ สำเร็จ ตั้งหนึ่งพันวิธีแน่ะ



จูเลียส ซีซ่าร์:

ลูกไก่ไม่ได้ข้ามถนนเสร็จในวันเดียว



จิวยี่:

ฟ้าส่งให้ลูกไก่มาเกิด ใยต้องให้มีถนนมาขวางหน้าด้วย!



มาร์กซ์ :

ลูกไก่ธรรมดาต้องใช้แรงงานในการเดิน ส่วนลูกไก่ศักดินา ซีพี กับได้นั่ง รถขนไก่ไป ลูกไก่กรรมาชีพ จงลุกขึ้นปฏิวัติ



มหาตมะ คานธี:

ถึงผมจะไม่เห็นด้วยกับการที่ลูกไก่จะข้ามถนน แต่ผมยินดีที่จะ สละชีวิตของผม เพื่อปกป้องสิทธิของลูกไก่ในการที่จะข้ามถนน



ผู้พันแซนเดอร์ แห่ง KFC :

เราคัดเลือกไว้แต่ไก่เนื้อพันธ์ดี รุ่นกระทง ลูกไก่เล็กๆ เราไม่สนใจจะเอามาทำ เราจึงปล่อยมันเดินข้ามถนน



เจ้าสัวธนินทร์ เจียรวรานนท์ :

อย่าคิดแค่ว่าเป็นลูกไก่ข้ามถนนสิ แต่ที่นี่ CPF เราคิดว่า มันเป็นเส้นทางตัดผ่าน โรงอาหารของคนทั้งโลก



ทักษิน :

ผมไม่รู้ ว่าลูกไก่มันข้ามถนนทำไม แต่ถึงการข้ามถนนนี้จะผิด มันก็เป็นความผิดโดยสุจริต ไร้เดียงสา



ชวน หลบภัย:

อัน นี้ตามหลักการ ถ้า ลูกไก่ จะข้ามถนน มันก็เป็นสิทธิอันชอบธรรม ของลูกไก่ ที่สามารถ ทำได้ภายใต้กรอบ บัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ นะคะรับ



เฉลิม ฝั่งธน:

ไหนๆๆนาย ลูกไก่ตัวไหนที่จะเดินข้ามถนน มันอยู่สังกัดไหนหือออออ อ๋อลูกไก่คอกเดลินิวส์เหรอ เลวๆๆๆๆ นายตัวนี้เลว



น้าหมัก ชมภู่:

ผมว่านะ นายลูกไก่ นี่ถ้ายังขืนปล่อยให้มันเดินข้ามถนนอย่างนี้ตายแหงๆ ผมกะว่า ปีงบประมาณหน้าผมจะใช้เงิน สองร้อยแปดสิบสี่ล้านสามแสนสองหมื่นเจ็ดพันแปดสิบสี่บาท ทำอุโมงค์ ลอดถนนยาว สามสิบสองเมตร เจ็ดสิบแปดเซนติเมตร ให้มันเดินรอด อย่างนี้พวกคุณว่ามันปลอดภัยกว่ามั้ย ล่ะ



บิ๊กจิ๋วหวานเจี๊ยบ:

โถๆ หนู ลูกไก่ที่ไหนกันข้ามถนน ไม่มีหรอก ที่หนูเห็นน่ะมันแค่ออกมาเดินเล่นริมถนนเท่านั้นแหละจ้ะ



คลินตัน :

No. I didn't not have sexual relationship with that chicken!



เผ่าอินเดียนแดง :

ไม่มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ที่ลูกไก่จะทำไม่ได้



ขงจื๊อ :

เพราะบรรพบุรุษของมันข้ามถนนมาก่อนหลายชั่วไก่



เหลาจื๊อ :

ถ้าถนนนั้นมีชื่อล่ะก็ สิ่งที่ลูกไก่ข้ามก็ไม่ใช่ถนน



จางจื๊อ :

จริงๆ แล้ว ข้าฯ เป็นลูกไก่ที่กำลังฝันว่าเป็นคนรึเปล่านะ



โจโฉ :

ข้าฯ ยอมให้ลูกไก่ข้ามถนน ดีกว่าให้ถนนข้ามลูกไก่



'รงค์ วงษ์สวรรค์ :

นาทีนั้น นางไก่สาวกำดัด กำลังสะดิ้งกาย ย้ายฝ่าเท้าลามเลียไปตามถนนสายพิศวาส สำออย !!!



บาซู :

ชูไม้ชูมือ ส่ายสะดือเจี๊ยบไปเจี๊ยบมา



Liverpool :

Chicken will never walk across the steet alone.



Anonymous(0) :

คงเป็นเพราะว่าลูกไก่เพิ่งดื่มเหล้า Red Label มามั้งครับมันเลย " Just walking "



Yoda :

Use his force, the chicken did. and you!, what about you, young jedi?

you must control your mind.....



Arnold Schwartzenegger :

He'll be back!



กาลิเลโอ :

พวกท่านมีใครเคยลองหาปริมาตรของลูกไก่หรือยัง ถ้ายัง - ลองไปอาบที่เจ้าพระยาสิ ท่านจะได้ความคิดดีดี



Vincent Van Gogh :

That chicken can cross the street without any ear(pinna), so do I.



การทางพิเศษ :

ตลอดเวลาหลายสิบปี การทางพิเศษได้ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ เพื่อสานฝันให้กับทุกย่างก้าวของลูกไก่ บัดนี้ ถึงเวลาแล้ว

ที่ลูกไก่ จะต้องข้ามถนนเพื่อต่อเส้นทางการเดินของมัน...ให้ยาวไกลยิ่งขึ้น นี่ไม่ใช่การเพิ่มภาระหรือทรมาน แต่เป็นการกำหนดหน้าที่ในการเดินทางรูปแบบใหม่ ซึ่งลูกไก่...ไม่เคยรู้

คุณสมบัติ 50 ข้อ ของละครไทย

คุณสมบัติ 50 ข้อ ของละครไทย


1. ถ้าคุณเป็นคนจน แม้ไม่เคยมีงานทำก็มีเงินกินข้าว และ เปลี่ยนเสื้อผ้าตลอดเรื่อง



2. โฆษณามักจะตัดกับตอนที่นางเอกกำลังถือแก้วกำลังจะจิบยานอนหลับ



3. ตัวละครแต่งหน้าตลอดเวลา แม้กระทั่ง นอนหรือป่วย ขนตาและมาสคาร่ามันโปะเต็มหน้า



4. ไม่พระเอกก็นางเอกจะมีปัญหาครอบครัว



5. พระเอกนางเอกละครไทยจะเริ่มปิ๊งกัน เพียงแค่ล้มทับกัน แต่จ้องตาเป็นประกายประมาน 3วิ ซะทุกเรื่อง นางเอกต้องอยู่ด้านบนด้วยนะ



6. เมื่อหลงป่า ฝนจะตก และเมื่อฝนตก จะเจอกระท่อมหรือถ้ำ และเมื่อเจอกระท่อมหรือถ้ำก็ยั่งว่า...



7. หากพระเอกโดนรุมทำร้าย ท่อนไม้เป็นอาวุธที่นางเอกจะหาได้ทุกที



8. นางร้ายที่มาในชุดแดง จะมีความร้ายระดับนางมาร



9. ตื่นมาละแปรงฟันกันน้อยมาก



10. เรื่องสำคัญอะไรก็ตามที่จะบอกกัน มักโดนตัดบทเสมอ



11. แม้ว่าพระเอกจะจบสูงมาแค่ไหนสุดท้ายก็โง่ได้อย่างมหัศจรรย์ด้วยคำพูดตัวร้าย เรียกได้ว่า พระเอกจะเชื่อทุกเรื่อง นอกจากเรื่องจริง



12. บุหรี่ เหล้า และ ยี่ห้อสินค้าโดนเซ็นเซอร์อย่างไร้สาระ แต่ตอนตบตีกัน ภาพใสแจ๋ว



13. พระเอกแขนเท่ากุ้งสามารถล้มนักเพาะกาย 4-5 คนได้มือเปล่า โดยท่าแรกมักจะเป็นเข้ามาชก และพระเอกปัดมือกัน และ โดนเตะออกไป



14. ร้องไห้หน้ายังสวย



15. เป็นธรรมดาที่จะเห็นตัวละครพูดกับตัวเอง เหมือนคนบ้า ( คิดในใจไม่เป็น )



16. ตัวร้ายมีจุดจบ 3 ประการ ตาย เป็นบ้า และ กลับมาดี ตัวร้ายไม่เคยได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำ



17. เมื่อนางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชาย พระเอกจะดูออกคนสุดท้าย แม้ว่าคนทั้งโลกจะดูออกตั้งแต่วินาทีเเรก



18. บ้านนกอินทรีย์เป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายละคร



19. ยิงปืนไม่เคยโดนกัน ถ้าจะโดนก็โดนหัว ไม่ก็ แขน



20. และตอนตาย หน้าตาจะยังสดสวย แม้ว่าตัวละครนั้นจะยิงสมองตัวเองตาย เลือดยังไม่เปื้อนหน้า แต่จะย้อยลงมาอย่างสวยงาม และนอนในท่าที่สวยหรู



21. นักธุรกิจ มีการประชุมน้อยมาก



22. เลขาหน้าห้องมักสวย และ เป็นสายให้กับนางร้าย



23. ไม่เคยเรียกเก็บเงินหลังจากกินข้าว



24. ท่าเต้นในผับ มีท่าเดียว



25. การตบหน้าด้วยส้นสูงเป็นที่ฮือฮามากในช่วงหนึ่ง ทำให้การตบด้วยมือดูโลโซไปในขณะหนึ่ง



26. เวลาซ่อนตัวจากผู้ร้าย ต้องมีหนึ่งคนเหยียบกิ่งไม้



27. ถุงชอปปิ้ง หรือกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ขนาดไหน จะเบาโหวง เพราะข้างในไม่มีอะไรเลย



28. ตร. หมอ มีอย่างละคน คดีไหน โรค ก็ เจออยู่คนเดียว และ ตำรวจมักจะมาตอนจบ



29. แอบฟังคนพูดกันในห้อง ถึงห้องจะปิดอยู่ก็ได้ยิน



30. พระเอกจะเห็นเสมอเวลา นางเอกจับมือกับผู้ชาย แบบพี่น้องหรือเพื่อน แล้วก็เข้าใจผิด



31. พระเอกต้องมีเลือดกรุปเดียวกับนางเอกหรือ ญาตินางเอก แต่ห้ามบอกเชียวนะ ว่าตัวเองเป็นคนให้เลือด หนังจะจบเร็ว



32. ตอนจบพระเอก นางเอกยืนจับมือ มองหน้าักัน จูบหน้าผาก พ่อแม่ ญาติ พี่น้อง เพื่อน คนใช้.. ยืนแอบดู แล้ว ตบมือ !!!แปะๆๆ



33. คนใช้ หรือลูกจ้างเป็นตัวเดินเรื่อง ประสานช่องโหว่งที่คนดูจะไม่เข้าใจ



34. ตัวละครยังไม่ทันได้พูดความจริงจนหมด ก็ตายไปซะก่อน



35. ช่วงหลัง นางเอกกับนางร้ายจะมีนิสัยใกล้เคียงกัน



36. พระเอกจะหมั้นกับนางร้ายมาเป็นปีๆ แต่ถ้านางเอกโผล่ปุ๊บ นางร้าย มีข้อเสียปั๊บ



37. พ่อพระเอกหรือนางเอก ต้องมีเมียน้อย



38. ต้องมีคนใช้ 2 ฝ่าย ธรรมะ และอธรรม ตีกันเอง



39. ตอนจบอาจจะมีคนใดคนหนึ่งเป็นบ้า ชีจะนั่งบนเตียงผู้ป่วยพร้อมกับตุ๊กตาหนึ่งตัว



40. ตัวประกันถูกจับที่เดียวคือโกดัง และ พระเอกจะมาทันตลอดราวกับว่ามีโกดังที่เดียวในประเทศไทย



41. กระโดดบังกระสุนแทนถือเป็นสุภาพบุรุษที่สุดละ



42. เวลามีคนโทรเข้ามือถือ กล้องต้องซูมเข้าไปให้เห็นชื่อแล้วถึงจะรับโทรศัพท์ได้ เดี๋ยวคนดูไม่รู้ว่าใครโทรมา



43. ฉากงานหมั้นหรือแต่งงาน จะมีคนมาขัดจังหวะ แฉและเปิดโปงความจริง



44. ฉากเลิฟซีนมักจะอยู่ในห้องที่มีเตียงและผ้าหุ่มสีขาว



45. จูบเเล้วต้องตบ ตบแล้วต้องด่า ด่าแล้วต้องวิ่งหนีไป



46. ถ้าเป็นฝาแฝด นางเอกมักจะถูกแยกกันแต่เกิด คนนึงไปอยู่กับมหาเศรษฐี อีกคนอยู่สลัมส์ตกยาก แล้วก็ต้องสลับตัวกัน



47. เวลามีฉากข่มขืน ผญ.จะวิ่งไปล้มบนที่นอน เหมือนจะพร้อมให้ย่ำยีแล้ว



48. พ่อไปดูลูกนอน หรือ พระเอกไปดูนางเอกนอน จะห่มผ้าให้ ถึงห้องนอนจะไม่มีแอร์ หรือไม่ใช่หน้าหนาว



49. ไม่ว่าตัวละครใดๆ ที่เป็นผู้หญิง จะต้องแต่งตัวเวอร์มากๆ ไม่มีคำว่าชุดอยู่บ้าน เครื่องแต่งกายจะต้องเลิศหรูเกินมนุษย์ปกติ



50.ช่อง 3 ตอนจบ ช่อง 7 ตอนอวสาน

ความเครียดทีเกินทน..จะเปลี่ยนคนเป็น..อะไร?

ความเครียดเกินทน....จะเปลี่ยนคนเป็น..หมู

พูดไม่ออกบอกไม่รู้.....ระบายสู่การกิน



ความเครียดเกินทน.....จะเปลี่ยนคนเป็น..หมา

มันจนตรอกออกลูกบ้า..ฟัดไม่ว่าหมาหรือคน



ความเครียดเกินทน.....จะเปลี่ยนคนเป็น..หิน

ไม่รับรู้ไม่ยลยิน...........เปลี่ยนเป็นหินที่ด้านชา



ความเครียดเกินทน.....จะเปลี่ยนคนเป็น..บ้า

ไม่รับรู้กติกา...............บ้าละวะ..รู้กันไป



ความเครียดเกินทน.....จะเปลี่ยนคนเป็นเป็น..ขวด

กรอกสุรา..เอามาดวด..เป็นแค่ขวดไร้ราคา



ความเครียดเกินทน.....คิดอย่างคนคิดเถิดหนา

ปล่อยวางห่างไกลตา...ใช้ปัญญาค่อยว่ากัน ...

ข้างๆของความรัก

มีเพื่อนต่างเพศอยู่คู่หนึ่ง เป็นเพื่อนที่รักกันมาก ที่โรงเรียน


ฝ่ายชายจะเดินไปส่งฝ่ายหญิงที่บ้านเสมอทุกวัน



เวลาผ่านไป จนทั้งสองอยู่ มหาวิทยาลัย

ฝ่ายหญิงเริ่มไปแอบชอบผู้ชายคนนึง และถามฝ่ายชายว่า



"นี่ เธอว่า เค้าเหมาะกับเราไหม"

"เค้าก้อหล่อดีนะ นิสัยดีด้วย "

"หรอ อืม อยากให้เค้ามาอยู่ข้างๆเราจังเลยเนอะ"



ต่อมาหญิงสาวก็ได้เป็นแฟนกับผู้ชายคนนั้นจิงๆ

วันนึงหญิงสาวบอกกับเพื่อนสนิทของตนว่า



"นี่ เธอไม่ต้องมาส่งเราทุกวันแล้วแหละ ตอนนี้เค้าจะมาส่งเราแล้ว

เราไม่อยากให้เค้าเข้าใจผิด"

"อืม" ฝ่ายชายตอบรับ และไม่ไปส่งหญิงสาวอีก



ต่อมาหญิงสาวทะเลาะกับแฟนของตน จึงมาปรึกษาเพื่อนชายว่า

"เธอ เด๋วนี้เขาไม่ค่อยสนใจเราเลยแหละ เธอว่า เราจะทำอย่างไรดีหล่ะ"

"ก้อ เธอยังรักเค้าอยู่หรือป่าวหล่ะ" ฝ่ายชายตอบ

"รักสิ รักมากด้วย"

"ถ้าอย่างนั้น ก็มอบความรักให้เขาต่อไปสิ ก้อเธอรักเค้านี่น่า"

"อืมม"



หญิงสาวทำตามคำแนะนำของฝ่ายชาย



หลังจากนั้น วันหนึ่ง ระหว่างที่เพื่อนชายหนุ่มเดินกลับบ้าน

เค้าเห็นหญิงสาวนั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง



"เธอ เป็นอะไรหน่ะ ให้เราช่วยไหม"

"เค้าไม่รักเราเลยหล่ะ เขาเปลี่ยนไป เด๋วนี้เขาไม่เคยมาส่งเราที่บ้านเลย"

"แล้วเราจะช่วยอะไรเธอได้บ้างหล่ะ"

"ช่วยอยู่กับเราซักพักได้ไหม"หญิงสาวร้องขอ



ทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกันโดยไม่พูดอะไรเลย

ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยขึ้น



"เราควรจะทำอย่างไรดี เธอจะช่วยเราได้ไหม ว่าเราควรจะทำอย่างไรดี"

"เธอยังรักเขาอยู่หรือป่าวหล่ะ"

"รักสิ เรารักเค้ามากเลย"

"ถ้าอย่างนั้นก้อรักเค้าต่อไปสิ"

"แต่เค้าไม่รักเราเลยนี่น่า" หญิงสาวร้องไห้โฮ

"แต่เธอก็รักเขาไม่ใช่หรอ"

และชายหนุ่มก็ส่งหญิงสาวที่บ้านอย่างที่เคยทำมาแต่ก่อน

"ถ้าเมื่อไหร่ที่เธออยากให้เรามาส่งเธอที่บ้าน อย่าลืมเรียกเรานะ"

"อืม" และหญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป



ต่อมาวันหนึ่งชายหนุ่มได้รับโทรศัพท์จากหญิงสาว



"เราไม่ไหวแล้ว ช่วยมารับเราที"



เสียงของหญิงสาวดูช่างอ่อนล้า และหมดกำลัง

เธอกำลังร้องไห้อย่างฟูมฟายอยู่

ชายหนุ่มไปหาเธอและไปรับเธอมาส่งบ้าน

เธอยังคงถามชายหนุ่มนั้นเมื่อที่เคยถามมา



"เราจะทำอย่างไรต่อไปดี"

"เธอเลิกรักเค้าแล้วหรอ"

"ป่าว เรายังรักเค้ามาก เรายังรักเขาอยู่"

"งั้นก็เหมือนที่เราเคยพูดไว้ รักเขาต่อไป

เพราะมันไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะรักเธอไหม แต่ถ้าเธอยังรักเขา

เธอก็คงทำได้แค่รักเขาให้มากขึ้น ให้เขารู้ว่าเธอรักเขา"



วันที่เธอเรียนจบ เพื่อนชายหนุ่มของเธอมาแสดงความยินดีกับเธอ

เธอแปลกใจมากที่เพื่อนชายหนุ่มของเธอยังเรียนไม่จบ เธอถามเขาว่าทำไม

ชายหนุ่มตอบว่า เขาขี้เกียจไปหน่อย

ทำให้เขาต้องเรียนซ้ำวิชาหนึ่งจึงยังเรียนไม่จบ

หญิงสาวแปลกใจ เพราะตลอดมา ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนขยัน



ต่อมาแฟนหญิงสาวได้แต่งงานกับหญิงสาว

เนื่องด้วยเห็นถึงความรักที่หญิงสาวมีให้มากมาย

หญิงสาวได้ชวนเพื่อนของตนมางานแต่งของเธอ

"เราไม่ว่างจริงๆ

เราติดธุระหน่ะขอโทษนะ"เพื่อนชายตอบเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

หญิงสาวโกรธและเสียใจที่ชายหนุ่มไม่มางานแต่งจึงวางหูใส่

แต่หญิงสาวก็ต้องประหลาดใจเมื่อวันที่เธอแต่งงาน

ชายหนุ่มได้มาก่อนที่งานแต่งจะจบ



"ยินดีด้วยนะ เรามาแล้วนะ"



หญิงสาวดีใจมากที่เพื่อนของเธอมา ถึงจะเพียงชั่วเวลาสั้นๆ



ต่อมาหญิงสาวก็มีความสุขกับชีวิตแต่งงานจนไม่ได้ติดต่อกับชายหน ุ่ม

จนวันหนึ่งหญิงสาวได้ทะเลาะกับสามีของตน

หญิงสาวไม่รู้จะไปปรึกษาใคร จึงนึกถึงชายหนุ่มขึ้นมา

แต่แม้ว่าหญิงสาวจะโทรไปเท่าไหร่

ก็ไม่สามารถติดต่อกับชายหนุ่มคนนั้นได้เลย



เขาจึงโทรหาเพื่อนของชายหนุ่มคนนั้น

เพื่อนของชายหนุ่มเล่าว่า ชายหนุ่มเป็นโรคร้าย เขาไม่สามารถไปไหนได้

ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลมาร่วมหลายเดือน

หญิงสาวตกใจมากถามว่าเป็นอะไร

เพื่อนชายหนุ่มบอกว่า อาการกำเริ่มเพราะวันที่ชายหนุ่มต้องมาผ่าตัด

ชายหนุ่มดันหายตัวไป

และเพื่อนชายยังบอกอีกว่า



"เป็นนิสัยเสียของมันหน่ะ มันชอบหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ในช่วงเวลาสำคัญๆ

คราวที่แล้วสอบไล่ ก็หายตัวไปจากห้องสอบ"



หญิงสาวตกใจมาก เลยขอที่อยู่ของโรงพยาบาลที่ชายหนุ่มรักษาตัว



หญิงสาวไปเยี่ยมชายหนุ่มที่โรงพยาบาล เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็ต้องตกใจ

ชายหนุ่มที่เคยดูแข็งแรง กับผอมซูบ ไม่มีแรง

เมื่อชายหนุ่มเห็นเธอก็ดีใจทักทายเธอเป็นการใหญ่



"เป็นอย่างไรมั้ง ไม่เจอกันตั้งนาน"



หญิงสาวนิ่งเงียบซักพักน้ำตาหญิงสาวก็ออกมา



"อ้าวร้องไห้ทำไมหล่ะ เธอหน่ะ ไปทะเลาะกับแฟนมาอีกแล้วหรอ

จะให้เราช่วยอะไรไหม แต่เราก็คงจะแนะนำเหมือนเดิมหน่ะ"



หญิงสาวเข้าไปหาชายหนุ่มแล้วบอกกับชายหนุ่มว่า



"วันที่เธอมารับเราเป็นวันสอบไล่ใช่ไหม"

ชายหนุ่มทำหน้าตกใจและไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้นกลับนิ่งเงียบไป

หญิงสาวจึงพูดต่อ



"และวันที่เธอต้องผ่าตัดใหญ่ เธอกลับมางานแต่งงานของฉันใช่ไหม"

ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว กลับนิ่งเงียบกว่าเดิม

หญิงสาวเข้าไปกอดชายหนุ่มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น



"ตลอดเวลา เรารักแต่คนอื่น มองแต่คนอื่น

เรากลับไม่รู้เลยว่าเธอรักเรามากแค่ไหน

เรารู้สึกเสียใจจริงๆที่ไม่ได้รักเธอมากกว่านี้"



ชายหนุ่มยิ้มขึ้นแล้วบอกกับหญิงสาวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า



"เราบอกแล้วไง ถ้าเรารักใครซักคน เราก็ต้องรักเขาให้มากๆ

ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะรักเราหรือไม่หน่ะ

มันสำคัญแค่เพียงว่าเรายังรักเธออยู่หรือเปล่า แค่เราสามารถช่วยเธอได้

นั่นก็เป็นความสุขของเราแล้ว"



หญิงสาวรู้สึกเสียใจมาก นั่งร้องไห้โห่อยู่ที่ตักของชายหนุ่ม

ชายหนุ่มจึงพูดขึ้นว่า

"ถ้าเราหายเมื่อไหร่ เราจะไปส่งเธอที่บ้านอีกนะ"

กฎน่ารักๆ ที่ทำให้คุณยิ้มได้

เหตุการณ์รอบตัวบ่อยครั้งทำให้นึกน้อยใจในโชคชะตา
เพราะมันมักเลวร้ายกว่าที่ควร


เช่น ขับรถมาเป็นสิบปีไม่เคยชนอะไร แต่พอถูกขอร้องให้ถอยรถเพื่อน

ออกจากซอยไม่ถึง 30 เมตร กลับชนเสาไฟฟ้าโครมใหญ่



เหตุการณ์เลวร้ายเกิดเหมือนสวรรค์แกล้งนี้ เกิดบ่อยกับทุกคน

จนมีผู้ตั้งเป็นกฎไว้ เรียกว่า กฎของเมอร์ฟี่ ความว่า

ถ้ามันเคยผิดพลาด มันก็จะผิดซ้ำอีก


นอกจากกฎของเมอร์ฟี่ ยังมีกฎอื่นๆ ที่มีผู้สังเกตพบมากมาย



จึงรวบรวมไว้ดังนี้



กฎความเป็นไปได้

ขนมปังทาเนยที่พลัดตกพื้น จะเอาหน้าด้านที่มีเนยคว่ำลงเสมอ

และโอกาสที่เนยตกเปื้อนพรม จะมีมากขึ้นเป็นสัดส่วนกับราคาของพรม



การดูดวง

หมอดูมักทายหลายเรื่องทั้งดีและเลว

แต่เรื่องที่แม่นที่สุดคือเรื่องที่เลวที่สุด




กฎแห่งความแม่นยำ

หากขว้างก้อนหินสะเปะสะปะ มันจะพุ่งตรงเข้าหาวัตถุที่มีราคาแพงที่สุด




กฎของหาย

ของใช้ที่เราเห็นทุกวันจะหายต่อเมื่อเราต้องการใช้มัน




กฎของเมธี

เลขเด็ดที่เราไม่ซื้อ คือเลขที่จะออกงวดนั้น

และหวยที่เราซื้อมักใกล้เคียงกับหวยที่ออก

หากได้บวกลบคูณหารด้วยเลขอะไรสักตัว หรือกลับหน้ากลับหลัง

แต่ถ้าเราซื้อเลขกลับ มันจะออกเลขตรง

และถ้าเราซื้อทั้งสองแบบมันจะไม่ออกเลย




กฎแรงโน้มถ่วง

วัตถุ 2 ชิ้นน้ำหนักไม่เท่ากัน จะตกถึงพื้นด้วย

ความเร็วขนาดที่ทำลาย ทรัพย์สินได้มากที่สุดเท่าๆกัน




ข้อพิจารณาในการเลือกซื้อหนังสือ

หนังสือปกสวย เนื้อในมักห่วย

หนังสือปกขี้เหร่ เนื้อในห่วยกว่า




กฎห้ามพูด

คนไทยรู้จักกฎนี้ดี จนมีสุภาษิตว่า "เข้าป่าอย่าเรียกหาเสือ"

กฎมีว่า ทันทีที่คุณพูดแสดงความคาดหวัง

ถ้าหวังสิ่งเลวสิ่งเลวจะมาหา

และถ้าหวังสิ่งดี สิ่งเลวก็จะมาหา



กฎของโฮว์ (Howe's Law)

มนุษย์ทุกคนมักจะทำอะไรไม่สำเร็จ




กฎของไซเมอร์กี้

ถ้าคุณรื้อชิ้นส่วนออกมาประกอบใหม่จะมีน็อตเหลือเสมอ




ข้อสังเกตของอีตัวร์

รถเลนข้างๆ มักเคลื่อนตัวดีกว่าเลนของเรา





กฎการแก้ปัญหา

ในปัญหาใหญ่ๆ ที่เป็นอุปสรรคให้เราแก้ มักมีปัญหาเล็กๆ อยู่ภายใน

ซึ่งพร้อมจะขยายตัวแทนที่ทันทีที่ปัญหาใหญ่ได้รับการแก้ไขลุล่วง



กฎทอง
คนมีทองคือคนออกกฎ



ธรรมชาติของมนุษย์

มนุษย์เรามีสองประเภท

ประเภทแรก คือ คนที่ชอบแยกคนเป็นสองจำพวก

ประเภทที่สอง คือ คนที่รังเกียจพวกแรก


กฎยิ่งน้อยยิ่งดีของซีกัล

คนที่มีนาฬิกาเรือนเดียว จะรู้เวลาแน่นอน

คนที่มีนาฬิกาเพิ่ม มาอีกเรือน จะไม่แน่ใจว่า เวลาใดถูกต้อง



กฎการใช้เวลาเหลื่อมล้ำ

การเริ่มต้นงานเป็นสิ่งยาก

เพราะงาน 90 % แรก จะกิน เวลาไปถึง 90% ของเวลาในโครงการ

ส่วนงาน 10% ที่เหลือจะกินเวลาอีก 90% ของเวลาในโครงการ


กฎของโอ'รีลลี
สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ คือ การทำโต๊ะทำงานให้สะอาด



กฎของลีเบอร์แมน

นักการเมืองทุกคนโกหก แต่ไม่เป็นไรเพราะไม่มีใครฟังใคร




กฎน้ำพริกถ้วยเก่า

เสื้อผ้าตัวเก่งจะเก่าซอมซ่อทันทีที่เราได้ตัวใหม่



ข้อเท็จจริงขององค์กร

ในทุกหน่วยงานมักมีพนักงานคนหนึ่งและคนเดียว

ที่มองเห็นปัญหาที่แท้จริงขององค์กร และคนๆ นี้จะถูกไล่ออกเสมอ



กฎการโต้เถียง

คนที่พูดน้อยคือคนที่รู้มาก




กฎการทำงานเป็นทีม

เมื่องานยุ่งยาก ทุกคนผละหนี

กฎการมองโลก

มนุษย์สามสิบคนในร้อยคน ชอบมองโลกในแง่ร้าย

ที่เหลือมองร้ายกว่า

กฎของเมล็ดพันธุ์ (The Apple Tree )

Take a good look at an apple tree.
มองดูต้นแอ๊บเปิ้ลต้นหนึ่งให้ดี



There might be five hundred apples on the tree, each with ten seeds. That’s a lot of seeds!

มันอาจจะมีผลแอ๊บเปิ้ลอยู่ 500 ผล แต่ละผล มีเมล็ดพันธุ์อยู่ 10 เมล็ด มันจึงเมล็ดพันธุ์จำนวนมากมาย



We might ask, “Why would you need so many seeds to grow just a few more trees?”

เราอาจจะถามว่า “ทำไมคุณถึงต้องใช้เมล็ดพันธุ์มากมายเพื่อที่จะปลูกต้นแอ๊บเปิ้ลเพียงไม่กี่ต้น



Nature has something to teach us here. It’s telling us: “Most seeds never grow.

ธรรมชาติมักจะบอกอะไรเราบางอย่าง.. มันกำลังบอกเราว่า “มีเมล็ดพันธุ์จำนวนมาก ไม่ได้เจริญงอกงาม”



So if you really want to make something happen, you had better try more than once.”

ฉะนั้น ถ้าคุณปรารถนาจะให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น คุณน่าจะลองทำสิ่งนั้นมากกว่าแค่ 1 ครั้ง



This might mean: นี่อาจจะหมายถึง

You’ll attend twenty interviews to get one job.

คุณอาจจะต้องสอบสัมภาษณ์ถึง 20 ครั้งเพื่อจะให้ได้งานสักงานหนึ่ง



You’ll interview forty people to find one good employee.

คุณอาจจะต้องสัมภาษณ์คน 40 คนเพื่อที่จะได้ลูกจ้างดี ๆ สักคน



You’ll talk to fifty people to sell one house, car, vacuum cleanner, insurance policy, idea......

คุณอาจจะต้องพูดกับคน 50 คนเพื่อจะได้ขายบ้านหนึ่งหลัง, รถยนต์, เครื่องดูดฝุ่น, กรมธรรม์ประกัน หรือไอเดีย



And you might meet a hundred acquaintances to find one special friend.

และคุณอาจจะได้พบปะคนเป็นร้อยเป็นร้อยเพื่อที่จะเจอเพื่อนดี ๆ สักคน



When we understand the “Law of the Seed”, we don’t! get so disappointed.

เมื่อเราเข้าใจ "กฎของเมล็ดพันธุ์" เราก็จะไม่ต้องมาคอยผิดหวัง



We stop feeling like victims. Laws of nature are not things to take personally. We just need to understand them - and work with them.

เราจะไม่รู้สึกว่าเราเป็นเหยื่อ กฎของธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาใช้ได้เองตรงๆ เราเพียงแค่ต้อง เข้าใจและลองค่อย ๆ ปฏิบัติดู



IN A NUTSHELL สั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือ

Successful people fail more often. They plant more seeds.

ผู้คนที่ประสบความสำเร็จก็ล้มเหลวได้บ่อย แต่พวกเค้าก็ใช้เมล็ดพันธุ์มากกว่า (ถึงจะประสบความสำเร็จ)



When Things Are Beyond Your Control here’s a recipe for permanent misery….......

เวลาอะไร ๆ ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด… สูตรสำเร็จของคนที่ไร้ซึ่งความสุขก็คือ

a) Decide how you think the world SHOULD be.

1) ตัดสินว่า โลกมันควรจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้

b) Make rules for how everyone SHOULD behave.

2) ตั้งกฎเกณฑ์ว่าผู้คนควรจะทำตัวยังไง



Then, when the world doesn’t obey your rules, get angry! That’s what miserable people do!

และ.. เมื่ออะไร ๆ ไม่เป็นไปตามกฎของคุณ… ก็โกรธซะ !! นั่นแหละ คือสิ่งที่คนไร้ความสุขเค้าทำกัน



Let’s say you expect that: เอาเป็นว่า ถ้าคุณคาดหวังว่า

Friends SHOULD return favours. เพื่อน ควรจะตอบแทนอะไรคุณบ้าง

People SHOULD appreciate you. ผู้คนควรจะชื่นชมคุณ

Planes SHOULD arrive on time. เครื่องบิน น่าจะลงตรงเวลา

Everyone SHOULD be honest. ทุก ๆ คนควรจะซื่อสัตย์

Your husband SHOULD remember your birthday. สามี (แฟน) ควรจะจำวันเกิดคุณได้



These expectations may sound reasonable.

ความคิดพวกนี้ ฟังดูเหมือนมีเหตุผล



But often, these things won’t happen! So you end up frustrated and disappointed.

แต่บ่อยครั้ง สิ่งพวกนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้น และ มันก็จบลงที่.. คุณรู้สึกรำคาญใจและผิดหวัง



There’s a better strategy. Have less demands. Instead, have preferences!

มันมีหลักเกณฑ์ที่ดีกว่านี้ ลดความต้องการให้น้อยลง แล้วเปลี่ยนเป็นความชอบแทน



For things that are beyond your control, tell yourself:

สำหรับสิ่งต่าง ๆ ที่เกินคาด ก็บอกตัวเองว่า



”I WOULD PREFER AN “A”, BUT IF “B” HAPPENS, IT’S OK TOO!”

เราอยากจะให้เป็น เอ มากกว่า แต่ถ้าเป็น บี … ก็โอเค ได้เหมือนกัน



This is really a game that you play in your head. It is a shift in attitude, and it gives you more peace of mind ...

มันเป็นแค่เกมของความคิดในหัว คือเปลี่ยนอุดมการณ์ มันจะทำให้จิตใจคุณสุขสงบขึ้น



You prefer that people are polite ... but when they are rude,

it doesn’t ruin your day. You prefer sunshine ... but rain is ok!

คุณอยากให้ผู้คนสุภาพ แต่ถ้าเค้าเกิดหยาบคายขึ้นมา.. มันก็ไม่ได้บ่อนทำลายวันของคุณ

คุณอาจจะอยากให้ท้องฟ้าสดใส แต่ถ้าฝนเกิดตก.. ก็โอเค



To become happier, we either need to ถ้าอยากจะมีความสุขมากขึ้น เราก็เลือกที่

a) change the world, or เปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ หรือ

b) change our thinking. It is easier to change our thinking! เปลี่ยนแปลงความ คิดเราเอง



เปลี่ยนความคิดของเราเอง ง่ายกว่านะ



IN A NUTSHELL สั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือ



It’s not what happens to you that determines your happiness.

สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ ไม่ใช่สิ่งที่จะกำหนดความสุขของคุณ



It’s how you think about what happens to you.

แต่มันเป็นความคิดของคุณเองต่างหาก ความคิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ

เวลา นาฬิกา.. แตกต่าง แต่เติมเต็ม

แปลกมั๊ย..ใคร ๆ ก็คิดว่าเวลากับนาฬิกาเป็นสิ่งที่คู่กันเสมอ
จริง ๆ แล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นซักหน่อย



เวลา... เดินไปข้างหน้า

นาฬิกา.. เดินอยู่ที่เก่า



เวลา.. เราไม่อาจย้อนกลับ

นาฬิกา.. เราหมุนย้อนมันได้



เวลา.. เมื่อสูญเสียไปแล้วไม่อาจเรียกร้องคืน

นาฬิกา.. เสียก็ซ่อม หรือซื้อใหม่ไปเลย



เวลา.. ได้มาฟรีๆ ไม่ต้องแลกกะอะไร

นาฬิกา.. ยิ่งสวยยิ่งแพง ใช้เงินซื้อมันมาทั้งนั้น



แล้วอย่างนี้ มันจะคู่กันได้ยังไง ในเมื่อมันแตกต่างกันเหลือเกิน



แต่ถามหน่อย.. ถ้าไม่มีนาฬิกา จะรู้เวลามั๊ย

หรือถ้ามีแต่นาฬิกา แต่ไม่รู้จักเวลา จะมีประโยชน์อะไร



ถึง 2 สิ่งจะแตกต่างกัน แต่ถ้ามันจะคู่กันแล้ว

ย่อมมีจุดร่วมกันเสมอ เพียงแต่จะมองเห็นมันรึป่าว?



ฉันกับเค้า.. อาจไม่มีอะไรเหมือนกัน

ฉันกับเค้า.. มีความคิด และวิถีชีวิตที่ต่างกัน

ฉันกับเค้า.. อาจเดินกันคนละเส้นทาง

ฉันกับเค้า.. อาจมีความฝันที่ห่างไกลกัน



ฉัน.. อาจเหมือนกับเวลา ที่ชอบเดินไปข้างหน้า

หาสิ่งใหม่ๆที่ท้าทาย โดยทิ้งหลายสิ่งไว้ข้างหลัง



เค้า.. อาจเหมือนกับนาฬิกา ที่ยังเป็นแบบเดิมๆ

ใช้ชีวิตและทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ ในมุมเก่าๆ



ฉันอาจไม่พบกับเค้าเลย ถ้าฉันยังดึงดันจะมองแต่ข้างหน้า

ฉันอาจไม่พบกับเค้าเลย ถ้าฉันไม่มองไปข้างหลัง



เค้ายังไม่เห็นฉัน เพราะเขายังอยู่แบบเดิมๆ

เค้ายังไม่เห็นฉัน เพราะเขายังก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของเขาไป



แต่ฉันยังเฝ้ามอง เฝ้ารอ …

ความแตกต่าง อาจสร้างกำแพงบังเค้าไว้



แต่ฉันยังเชื่อมั่น ว่าซักวัน สิ่งนั้นน่ะแหละ

ที่จะเชื่อมโยงใจเราเข้าหากัน



ความแตกต่าง จะเติมเต็มส่วนที่เราขาดหาย

และสุดท้าย ก็จะเหลือเพียงแค่คำว่า..

** กันและกัน **

เข้าใจระบบเศรษฐกิจจากควาย

สังคมนิยม
คุณมีควาย 2 ตัว และคุณให้เพื่อนบ้าน 1 ตัว



คอมมิวนิสต์

คุณมีควาย 2 ตัว รัฐเอาไปหมดทั้ง 2 ตัว และให้นมควายคุณบ้าง



ฟาสซิสต์

คุณมีควาย2 ตัว รัฐเอาไปหมด และขายนมให้คุณบ้าง



นาซี

คุณมีควาย 2 ตัว รัฐเอาไปทั้ง 2 ตัว และยิงคุณ



บูโรแครต

คุณมีควาย 2 ตัว รัฐเอาไปทั้ง 2 ตัว ยิงตายไปหนึ่ง รีดนมตัวที่เหลือ และก็ละเลยไม่หาประโยชน์จากนมที่ได้มา



ทุนนิยม

คุณมีควาย 2 ตัว คุณขายไปหนึ่งตัว และเอาเงินซื้อพ่อควายมา ฝูงควายเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจขยายตัว คุณขายฝูงควายได้เงินมา แล้วก็เกษียณอายุตัวเอง



เอกชนอเมริกัน

คุณมีควาย 2 ตัว ขายไป 1 ตัว และบังคับให้ตัวที่เหลือผลิตนมในปริมาณเท่ากับ 4 ตัวผลิต ต่อมาก็จ้างที่ปรึกษามาวิเคราะห์ว่าทำไมควายจึงตาย



เอกชนฝรั่งเศส

คุณมีควาย 2 ตัว คุณนัดการให้มีประท้วง จราจลกีดขวางถนน เพราะว่าคุณต้องการควาย3 ตัว



เอกชนญี่ปุ่น

คุณมีควาย2 ตัว คุณออกแบบและปรับแต่ง จนมันมีขนาดเท่ากับ 1 ใน 10 ของควายขนาดธรรมดา แต่ผลิตนมได้ 20 เท่าของควายปรกติ แล้วคุณก็สร้างตัวละครการ์ตูนชื่อว่า " Buffkimon" ขายไปทั่วโลก



เอกชนเยอรมัน

คุณมีควาย 2 ตัว คุณรีเอ็นจิเนียร์มันจนมีอายุ 100 ปี กินอาหารเดือนละครั้งและรีดนมตัวเอง



เอกชนรัสเซีย

คุณมีควาย 2 ตัว คุณนับมันและพบว่ามี 5 ตัว คุณก็นับมันอีกครั้งพบว่ามี 42 ตัว และคุณก็นับมันอีกจนพบว่ามี 2 ตัว คราวนี้คุณหยุดนับและเปิดเหล้าวอดก้าอีกขวด



เอกชนสวิส

คุณมีควาย 5,000 ตัว ไม่มีตัวใดเป็นของคุณเลย แต่คุณเก็บเงินจากเจ้าของเป็นค่าดูแล



เอกชนจีน

คุณมีควาย 2 ตัว มี 300 คนรุมรีดนม คุณประกาศว่าคุณมีการจ้างงานเต็มที่ แถมควายของคุณมีผลิตผลสุดยอดและจับผู้สื่อข่าวที่รายงานสถานการณ์จริงเข้าคุก





เอกชนอินเดีย

คุณมีควาย 2 ตัว เพื่อเอาไว้เทิดทูนบูชา



เอกชนอังกฤษ

คุณมีควาย 2 ตัว ทั้ง 2 ตัวบ้าหมด ( โรควัวบ้าเป็นที่รู้จักกันครั้งแรกในอังกฤษ)



เอกชนอิรัก

ทุกคนคิดว่าคุณมีควายหลายตัว คุณบอกว่าคุณไม่มี แต่ไม่มีใครเชื่อคุณ ดังนั้นจึงถูกบอมบ์แหลกยับเยิน ถูกบุกยึดประเทศ ถึงกระนั้นคุณก็ยังไม่มีควาย แต่อย่างน้อยที่สุด ปัจจุบันคุณก็เป็นส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย



(อันนี้แถม)



เอกชนไทย

คุณมีควาย 2 ตัว ตัวหนึ่งสีแดง ตัวหนึ่งสีเหลือง วันๆ มันไม่ยอมให้น้ำนม เอาแต่วิ่งเอาเขาชนกัน จนฟาร์มคุณพังวายวอด

9/27/2552

ลูกรักจ๋า แม่ขอโทษ

เรื่องที่ฉันจะเล่าให้ฟัง มันผ่านมาหลายปีแล้ว แต่มันเป็นภาพที่หลอกหลอนฉันอยู่ตลอดเวลา ฉันปล่อยให้ความคาดหวังส่วนตัวของฉัน ทำร้ายบุคคลที่ฉันรักที่สุดในชีวิต ฉันไม่รู้ว่าผีร้ายตนใดมันสิงสู่จิตใจของฉัน ฉันจึงต้องการถ่ายทอดความผิดพลาดของฉันเพื่อเป็นบทเรียนให้กับพ่อแม่ทุกคน...
ตอนนั้นลูกของฉันอยู่ชั้นประถม 6 เท่านั้น เขาเป็นเด็กที่เรียนไม่เก่งเอาเสียเลย ผลการเรียนของเขาทำให้ฉันรู้สึกอายเพื่อนร่วมงานเสมอ เพราะฉันเองประสบความสำเร็จมากในด้านการเรียน มีหน้าที่การงานดี ไม่เคยทำอะไรไม่สำเร็จ แต่ลูกไม้ของฉันช่างหล่นไกลต้นเหลือเกิน...ฉันคิดแต่ว่าถ้าเขาเรียนไม่ดี เขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไรในอนาคต ฉันจึงตั้งหน้าตั้งตาสอนเขาทุกอย่าง มีกลเม็ดอะไรในการสอนฉันสอนให้ลูกหมอ(ก็ฉันเป็นครู..นี่น่า...ฉันสอนเด็กคนอื่นให้เรียนดี ทำไมฉันจะสอนลูกให้เรียนดีไม่ได้)...แต่คุณรู้ไหมว่าฉันสอนเท่าไหร่ ลูกของฉันก็ไม่พัฒนาขึ้นสักเท่าไหร่ และแล้วความอดทนของฉันก็มาถึงขีดสุด เมื่อ...เย็นวันหนึ่งลูกสาวเข้ามากอดฉัน แล้วบอกด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า " แม่ขา...หนูสอบตก 3 " วิชา...ทันทีนั้น ฉันรู้สึกโกรธมาก...ต่อว่าลูกด้วยคำพูดแรงๆ ที่ฉันไม่เคยว่าลูกมาก่อน และ...ผลักเขากระเด็นออกไปอย่างแรง...ลูกล้มหน้าคะมำไป เขาเข้ามากอดฉันอีก...ร้องไห้...ปากก็บอกว่า...แม่หนูขอโทษ...แม่กอดหนูหน่อย...ฉันไม่รู้ว่าผีตนไหนมาสิงสู่ในใจของฉัน ความผิดหวังมันทำให้ฉันไม่ได้ยินเสียงอ้อนวอนของลูก แม้ว่าลูกจะพยายามขอโทษฉันสักเพียงใดก็ตาม...ฉันปล่อยให้ลูกร้องอ้อนวอนอยู่อย่างนั้น จนสามีของฉันทนไม่ได้และมาพาลูกออกไป....ตั้งแต่วันนั้นลูกดูซึมลงไปถนัดตา แต่เขาก็พยายามวนเวียนอยู่ใกล้ๆฉันเสมอ ความผิดหวังประกอบกับความโกรธทำให้ฉันไม่มองหน้าลูก ไม่พูดกับลูกอยู่หลายวัน...ฉันไม่รู้ว่าตอนนั้นฉันทำอะไรลงไปกับลูก..ช่างไม่น่าให้อภัยจริงๆ...
บัดนี้ลูกสาวของฉันโตเป็นสาว เขายังเรียนไม่เก่งเหมือนเดิม แต่เขามีฝีมือมากด้านการตบแต่งภายใน วันหนึ่งฉันได้มีโอกาสได้ไปนั่งกินข้าวในร้านเปิดใหม่ของคนที่รู้จักกัน ร้านของเขาตกแต่งสวยมาก ฉันรู้สึกประทับใจที่สุด จึงถามเขาว่า เขาจ้างมัณฑนากรที่ไหนมาแต่งร้าน เขาเอารูปเด็กสาวคนหนึ่งมาให้ฉันดู ฉันรู้สึกคุ้นหน้าเด็กสาวคนนี้อย่างไรชอบกล...ลูกสาวของพี่เองไงค่ะ เขาเป็นคนแต่งร้านให้หนู...โอ้ลูกแม่ ลูกมีความสามารถที่แม่มองข้ามไปจริงๆ แต่ก่อนแม่เห็นว่าเฉพาะการเรียนเก่งเท่านั้นจึงจะทำให้คนได้ดี ต้องขอบคุณที่คุณพ่อของลูกช่วยเตือนสติแม่มาตลอด และช่วยให้แม่ตาสว่างมากขึ้น เดี๋ยวนี้แม่คิดได้แล้วว่า ถ้าแม่เปิดใจรับความสามารถด้านอื่นของลูกด้วย แม่ก็คงไม่ทำอะไรที่ทำร้ายลูกของแม่ได้ขนาดนี้...แม่อยากขอโทษลูก...อยากกอดลูกที่ทำให้ลูกรักของแม่ต้องเสียใจ...ยกโทษให้แม่นะจ๊ะคนดี...
ถ้าฉันมีโอกาสกลับไปเลี้ยงลูกได้ใหม่ ฉันจะสร้างให้เขาภูมิใจ ในคุณค่าของตัวเองให้มากๆ ฉันจะเลิกเปรียบเทียบเขากับพี่น้องคนอื่น ฉันจะชมเขามากกว่าวิจารณ์ด่าทอเขา ฉันจะให้กำลังใจเขา ไม่ซ้ำเติม เมื่อเขาผิดพลาด ฉันจะมีเวลาให้เขามากขึ้น ลดงานและข้ออ้างต่างๆ ให้น้อยลง ฉันจะกอดเขา จะบอกให้เขารู้ว่าฉันรักเขาทุกวัน ฉันจะพูดกับเขา แทนการใช้อำนาจกับเขา ฉันจะมองเขา รับฟังเขาให้มากขึ้น ฉันจะไม่ผลักดัน คาดหวังให้เขาต้องมาเติมความความฝันที่ฉันเอาเติมให้กับตัวเองไม่ได้ ฉันจะไม่นำความลับของฉัน มาเป็นเงื่อนไขบีบบังคับให้เขามาเป็นบุคคลที่ฉันต้องการฉันจะบอกให้เขารู้ว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นเช่นไรฉันก็รักเขาอย่างที่เขาเป็น

เริ่มแรกการมีลูก

. รู้จักลูกวัยแรกเริ่ม
ระยะตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ถึงอายุ 5 ปี เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด ของการสร้างรากฐาน ชีวิตจิตใจของมนุษย์ เพราะร่างกายเติบโตเร็ว โดยเฉพาะสมอง เจริญเติบโตสูงสุด ในช่วงนี้เท่านั้น เด็กมีความรู้สึก รับรู้สัมผัสทั้งรูป รส กลิ่น เสียง กายสัมผัส และยังเลียนแบบอย่าง ตั้งแต่แรกเกิด เด็กเล็กๆ เรียนรู้จากประสบการณ์ การเลี้ยงดู และภาวะแวดล้อม ได้เร็ว และฝังลึกในจิตใจ การเลี้ยงดูเด็กวัยนี้ จึงส่งผล ทั้งที่เป็นคุณและโทษ แก่ชีวิตได้ ในระยะยาว
เด็กในวัยแรกเริ่มนี้ จะมีชีวิตรอด และเติบโตได้ ก็ด้วยการพึ่งพาพ่อแม่ และผู้ใหญ่ ที่ช่วยเลี้ยงดู และปกป้องจากอันตราย หากผู้ใหญ่ ให้ความรักเอาใจใส่ ใกล้ชิด อบรมเลี้ยงดู โดยเข้าใจลูก พร้อมจะตอบสนอง ความต้องการพื้นฐานของลูก ที่เปลี่ยนตามวัย ได้อย่างเหมาะสม ให้สมดุลกัน ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สติปัญญา และสังคมแล้ว ลูกก็จะเติบโต แข็งแรง แจ่มใส มีความมั่นคงทางใจ รู้ภาษา ใฝ่รู้และใฝ่ดี พร้อมที่จะพัฒนาตนเอง ในขั้นต่อไป ให้เป็นคนเก่ง คนดี อยู่ในสังคมอย่างเป็นสุข และมีประโยชน์

ว้าย...สิว


ปัจจัยภายใน คือ ปัจจัยที่เกิดจากร่างกายเราเอง เช่น ฮอร์โมน, กรรมพันธุ์, โรคเรื้อรัง และ ผิวพรรณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเราตั้งแต่กำเนิด
ปัจจัยภายนอก คือ ปัจจัยที่เกิดขึ้นจากนอกร่างกายของเรา เช่น ยา, เครื่องสำอาง, สภาพแวดล้อม, สังคม, แสงแดดและอุณหภูมิ ความสะอาด และ อาหาร ซึ่งเราสามารถป้องกันได้

วิธีป้องกันสิว

1.พักผ่อนให้เพียงพอ

2.เป็นคนอารมณ์ดี

3.กินผัก ผลไม้ อย่ากินอาหารที่มันมาก ๆ

4.อย่าจับหัวสิว

5.ใช้ยากำจัดสิวช่วย

6.ดูแลรักษาความสะอาดให้กับใบหน้า

7.วันว่าง ๆ ไม่ได้ออกไปใหนก็ควรให้ผิวหายใจบ้าง โดยการไม่ทาแป้ง ทาครีม

9/26/2552

นี่แหละคอมที่ควรรู้

1.คอมพิวเตอร์ก็มาจากลูกคิดดี ๆ นี่เอง
2.นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ชื่อ John Napier ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ใช้ช่วยในการคำนวณ
3.ส่วนสำคัญหรือหัวใจหลักของคอมพิวเตอร์ก็คือ cpu
4.คำสั่งคอมพิวเตอร์ที่จริงแล้วมีเพียง 1 กับ 0
5.น่าแปลกใจที่นักโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลกเป็นผู้หญิง ที่ชื่อว่า Augusta Lovelace Ada
6.แฟ้มข้อมูลตั่งชื่อได้สูงสุดถึง 256 ตัวอักษร
7.ซอร์ฟแวร์ที่เคยได้ยินก็คือโปรแกรม
8.ซอร์ฟแวร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือซอร์ฟแวร์ระบบ กับ ซอร์ฟแวร์ประยุกต์
9.ซอร์ฟแวร์ระบบก็คือระบบปฏิบัติการ หรือ windows นั่นเอง
10.ซอร์ฟแวร์ประยุกต์ก็คือซอร์ฟแวร์ที่ใช้กันทั่วไป เช่น โปรแกรม winamp
11.เวลาเปิดเครื่อง เครื่องคอมจะอ่านข้อมูลจาก Rom
12.ถ้าไฟล์ command.com เสีย เครื่องจะเข้าหน้าวินโดวส์ไม่ได้
13.windows 7 ออกมาเพื่อแก้หน้าให้กับ windows vista แต่กราฟฟิคน่าใช้มาก
14.windows เป็นระบบปฏิบัติการแบบ GUI หรือ กราฟฟิคนั่นเอง
15.แฮกเกอร์ คือ ผู้ที่พยายามหาช่องโหว่ของระบบซึ่งจะลักลอบเอาข้อมูลในระบบต่าง ๆ
16.คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือ ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์
17.PC ก็คือ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะนั่นเอง

อกหัก บำบัดหายไม่ต้องพึ่งยา

ถ้าคุณถูกทิ้ง
เซ็งล่ะสิกับชีวิตน่ะ การถูกทอดทิ้งมันเป็นอะไรที่เลวร้ายสุด ๆ และยิ่งคนนั้นเป็นคนที่คุณรักล่ะก็ (แล้วเราจำทำอย่างไรดี) ถ้าคำถามนี้มันวิ่งอยู่ในหัวสมองของคุณ
ให้คุณถามตัวเองว่า เลื่อกที่จะช้ำต่อไปไม่ได้อะไรขึ้นมา หรือเลือกที่จะเดินอย่างผู้กล้า ไม่หันหลังกลับไปมอง คุณคงจะคิดว่า ขาดเค้าไม่ได้ เราไม่มีเค้าจะอยู่ได้ยังไง ไม่จริงหรอกค่ะ อาจจะแค่แรก ๆ ที่อยู่ไม่ได้ เช่น เคยคุยโทรศัพท์กับเค้าทุกวันอยู่ดี ๆ ก็ไม่ได้คุย ความเปลี่ยนแปลงของคุณทำให้สมองสั่งการว่าชีวิตมันขาดหาย (แต่แค่นิดเดียวเอง) เพราะสมองของคุณมันทำงานในด้านการคุยโทรศัพท์เป็นประจำ เมื่อมันไม่ได้ทำหน้าที่นั้น มันก็คิดถึงเป็นธรรมดา แต่ถ้าสมองของคุณได้รับคำสั่งใหม่ มันก็จะทำงานในคำสั่งใหม่ ๆ ไปเลื่อย ๆ และก็ลืมคำสั่งเก่า ๆ ไป
คิดแง่ดีชีวิตเป็นสุข
1 ให้มองว่าเราเป็นฝ่ายผิดหรือเปล่าที่ทำให้เขาเลิกกับเรา ถ้าใช่ก็นำประสบการมาแก้ไขให้ดีขึ้นกับคนใหม่ในอนาคตดีกว่า
2 ถ้ารู้สึกว่าเขาไม่ดี ก็อย่ามองค่าของตัวเองว่าต้อยต่ำจนต้องลดตัวไปคบกับเค้า
3 ถ้าวันนี้เราไม่รู้จักเจ็บ แล้ววันข้างหน้าเราเจอคนที่ดีจริง ๆ เราจะเห็นคุณค่าความรักของเค้าแค่ไหน
4 จงเชื่อว่าต้องมีใครสักคนเกิดมาเป็นของเรา
5 ความสุขไม่ได้อยู่ที่การได้รับความรักตอบ บางคนมีความสุขด้วยการรักเขาข้างเดียว
6 หาเวลาว่างทำอย่างอื่นดีกว่า อย่าเสียเวลาไปบอกเขาให้ฝัน บอกให้กินข้าว หรือไปปลุกเค้าเวลาหลับเลย เอาเวลามาสนใจคนรอบข้างดีกว่า
7 รักแท้ไม่ได้มีแค่คำว่าแฟน คนอื่นก็เป็นรักแท้ของเราได้
8 ชีวิตมีค่าถ้าเรารู้จักหาคุณค่าให้ตัวเอง
9 จงทำร้ายตัวเองเมื่อเค้าทิ้งไป (ถ้าคุณคิดว่าคุณโง่พอ)
10 คนดี ๆ และมีสมองไม่มีทางเสียน้ำตา และ ให้คนเลว ๆ หลอก

มาฟังเพลงใหม่ ๆ กับ DJ.Meemeo