10/31/2552

ชีวิตหลังความเจ็บ - แดน

MV เธอเป็นแฟนฉันนะ - แกรนด์

MV เธอเป็นแฟนฉันนะ - แกรนด์

เพลงฮิตติดชาร์ต 19-25 ตุลาคม 52

1.ผู้ป่วยความจำเสื่อม - Mild
2.เธอเป็นแฟนฉันนะ - แกรนด์ The star
3.คนไม่มีเวลา - ว่าน
4.จุดหมายปลายทางของหัวใจ - กานต์ วงHum
5.ชีวิตหลังความเจ็บ - แดน
6.ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว - ดิว The star
7.โปรดส่งใครมารักฉันที - รถไฟฟ้า มาหานะเธอ
8.อย่าปล่อยให้คน ๆ หนึ่งคิดถึงเธอ - เต้น
9.คนรู้ใจ - ชิน
10.เป็นเพื่อนเธอไม่ได้จริง ๆ - ขนมจีน
11.เวลาของฉันกับเธอ - เจมส์
12.เรื่องสมมุติ - playground
13.ที่ของเธอ - รุจ
14.อยู่ใต้ฟ้า อย่ากลัวฝน - ปราโมทย์
15.อ๊อด อ๊อด - The Richman Toy
16.20,000 - stamp
17.ผิดเพราะรัก - กิ่ง The star
18.Troulb Is a friend - Lenka
19.หวาน - Caloris blah blah
20.เพียงผู้ชายคนนี้ ไม่ใช่ผู้วิเศษ - paradox

10/23/2552

เพลงฮิตติดชาร์ต 12-18 ตุลาคม 52

1.ผู้ป่วยความจำเสื่อม - mild

2.จุดหมายปลายทางของหัวใจ - กานต์ Hum

3.คนไม่มีเวลา - ว่าน

4.เธอเป็นแฟนฉันนะ - แกรนด์ The star

5.ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว - ดิว The star

6.ชีวติหลังความเจ็บปวด - แดน วรเวช

7.เป็นเพื่อนกับเธอไม่ได้จริง ๆ - ขนมจีน

8.ที่ของเธอ - รุจ The star

9.โปรดส่งใครมารักฉันที - Instinct Ost.รถไฟฟ้ามาหานะเธอ

10.อ๊อด อ๊อด - The Richmen Toy

11.Away far so - บอยด์ โก สิยพงษ์ FEAT. นภ พรชำนิ

12.หวาน - Calories Blah Blah

13.เวลาของฉันกับเธอ - เจมส์ เรืองศักดิ์

14.เรื่องสมมุติ - Playground

15.อย่าปล่อยให้คนคนนึงคิดถึงเธอ - เต้น Mic Idol

16.เพียงชายคนนี้(ไม่ใช่ผู้วิเศษ) - Paradox (play project)

17.อยู่ใต้ฟัาอย่ากลัวฝน - ปราโมทย์ วิเลปะนะ

18.ผิดเพราะรัก - กิ่ง The star

19.Trouble Is A Friend - Lenka

20.20,000 - Stamp Feat. Boyd

10/19/2552

ไวอากร้า ทำเหตุ

ยาย...........เออ..นี่หลานรู้ป่าวมียาฝรั่งตัวหนึ่งชื่อไวอากร้า




ถ้าคนที่นกเขาไม่ขันเป็นมะเขือเผาอ่อนปวกเปียกนี่



เม็ดเดียวกินก่อนนอนภายใน 20 นาทีเท่านั้นได้เรื่องเลย..แข็งโป๊กเลย



หลาน.............ยายรู้ได้งัย.?



ยาย.............ยายลองมาแล้ว..วันก่อนแอบไปซื้อมาเม็ดนึง จะเอามาให้ตากิน



แต่ยายไม่กล้าบอกตาตรงๆ เพราะคนที่นกเขาไม่ขันนี่ เขาจะอาย



จะรู้สึกว่าเสียเชิงชาย ยายเลยนั่งคิดว่าเอจะเอาให้ตากินยังงัยดี



พอดีวันนั้นแกอยากกินผัดไท



ยายนึกออกเลยเอายาบดจนละเอียดแล้วโรยในจานผัดไทยกไปให้ตากิน



พอวางบนโต๊ะเสร็จยายก็แอบดู



หลาน................เป็นงัยยาย..ได้ผลมั้ย..?



ยาย...........ได้ผลกะผีอะไรล่ะ ตามันไม่ยอมกินผัดไท



หลาน.........อ้าว..ทำไมล่ะยาย..?



ยาย............ก็เส้นก๋วยเตี๋ยวผัดไทมันแข็งโด่ทั้งจานเลย???

คิดได้ไงเนี่ยคะคุณยาย

หลาน เห็นยาย ทำท่าแปลกๆเลยร้องทัก......อ้าว..เป็นอะไรไปเหรอยาย..?




ยาย.....สงสัยจะแก่ตัวมาก นั่งนานๆ แล้วมันจะมีปัญหา.



หลาน........มันเป็นยังงัยหรอยาย..?



ยาย...........อีขาซ้ายนี่มัน...ชา



หลาน..........แล้วขาขวาล่ะยาย..?



ยาย ตอบหน้าตาเฉย.........กาแฟว่ะ..



หลานชายก็ตอบกลับว่า............ผมว่ายายต้องรีบไปหาหมอแล้วล่ะ..



ยาย...........ทำไมล่ะ..?



หลาน...........ถ้าปล่อยไว้นานๆมันจะเป็นโอวัลตินนะยายนะ

ซึ้งในน้ำใจลูก

หลานเรียก.....ยาย..




ยายขานรับ ......หา...



หลาน......ยายปีนี้ดูแก่มากเลยนะยาย..อายุเท่าไหร่แล้วล่ะ..?



ยาย........เมื่อ20ปีที่แล้วยายอายุ50 ไม่รู้ว่าตอนนี้มันยังจะ50อยู่หรือป่าว



ไม่ได้นับมานานแล้ว



หลาน........โห...ยาย ป่านนี้มันไม่เหลือ 9 ขวบแล้วหรอ



..แล้วลูกเต้าไม่มีหรือยายถึงมานั่งคนเดียวเนี่ย



ยาย......มี..



หลาน......อ้าว..แล้วทำไมเค้าไม่มาด้วยอ่ะ



ยาย.......มีลูกชายสองคน คนหนึ่งอยู่ระยอง



คนหนึ่งอยู่เชียงใหม่โน่น



ไอ้คนหนึ่งมันจะให้ยายไปอยู่เชียงใหม่



...อีกคนหนึ่งจะให้ยายไปอยู่ระยอง..



ตัดสินใจไม่ถูกไม่รู้จะไปอยู่กะใครเนี่ย?



หลาน......โอ้โฮ..ยายนี่โชคดีจังเลย ลูกแย่งกันเลี้ยง



ยาย..........โชคดีกะผีอะไรล่ะ...ก็ไอ้คนที่อยู่ระยอง..มันจะให้ไปอยู่เชียงใหม่



ไอ้คนที่อยู่เชียงใหม่..มันจะให้ไปอยู่ระยอง

ไอ้หลานคนนี้

หลานเรียก........ยาย




ยายขานรับ........หา?



หลานถาม.........ยายว่างไหมเนี่ย?



ยาย .......ว่าง



หลาน.......คุยด้วยคนนะยาย



ยาย........เอาสิหลานเอ้ย..นั่งก่อนๆ



หลาน.......เอ่อ....ยายก็ลุกขึ้นสิ



ยาย.........ทำไมยายต้องลุกขึ้นด้วยล่ะ



หลาน.......ผมจะได้นั่งก่อนยายไง .....



(... อิอิ ก็ยายบอกว่า นั่งก่อนๆๆ นี่นา 555 )

10/16/2552

ดาวน์โหลด Google Earth
เน็ตของคุณเร็วแค่ไหน
ดาวน์โหลดโปรแกรมดูดวงฟรี
ทำนายเนื้อคู่ตามเดือนเกิด
ดูดวงเนื้อคู่ จากวัน เดือน ปี เกิด
ดูดวงเนื้อคู่
ดูดวงเนื้อคู่
ดูดวงเนื้อคู่
ดูดวงตั้งชื่อ ทำนายฝัน
ดูดวงทำนายทายทัก
พยากรดวง
ดูดวงความรัก
ดูดวงแม่น ๆ กับหมอดูชื่อดัง
สุดยอดการดูดวง
ดูดวงแม่น ๆ
ดูดวง ไพ่ยิปซี ทำนายฝัน

MV Dejavu - K-otic

เนื้อเพลง Deja vu - k-otic

ตอนที่เธอกลับมาหา บอกชั้นขอเริ่มต้นใหม่ เกิดนาที ที่หวั่นไหว แปลกไปเหมือนเคยได้เจอ


*หน้าตาเศร้าๆอย่างนั้น ท่าทางซื่อๆอย่างนี้ กี่ครั้งที่ชั้นเชื่อเธอ...เชื่อเธอ~



I know what you did or where you when it's in the dejavu



Mainichi Maiban everyday one and only hitoride ni I love you



**พอมีอะไรกับเค้า เธอก้อมาอะไรกับชั้น เหตุการณ์มันก้อซ้ำๆเหมือนเดิม



***เขามันตัวจริงแล้วชั้นมันตัวอะไร เขาน่ะเป็นใครแล้วชั้นน่ะเป็นใคร เป็นแค่ที่พัก ไม่ใช่ที่รัก อยากทิ้งก้อได้ แค่นี้ เขามันตัวจริงแล้วชั้นมันตัวอะไร เขาน่ะเป็นใครแล้วชั้นน่ะเป็นใคร เป็นความทรงจำที่เจ็บช้ำ ทำไมต้องมาทำให้เจ็บซ้ำ หยุดมันซะทีนะเธอ



พอเธอดี ดีกับเขา เธอก็ทิ้งชั้นไป อย่ากลับมา อีกได้มั้ย ลืมชั้นไปได้เลย

(*)

I know what you did or where you when it's in the dejavu



Mainichi Maiban everyday one and only hitoride ni I love you





(*,**) solo (*)

นาๆๆๆ นาๆๆๆ นาๆๆๆ นาๆๆๆๆนาๆๆๆ นาๆๆๆ นาๆๆๆ นาๆๆๆๆ

เป็นความทรงจำที่เจ็บช้ำ ทำไมต้องมาทำให้เจ็บซ้ำ หยุดมันซะทีเลยเธอ
17 เรื่องน่ารู้คู่ความงาม
สาระน่ารู้เรื่องคอม
เรื่องที่คนมีคอมต้องรู้
ความรู้เรื่องไวรัส
ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ความรู้เบื่องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
เรียนรู้เรื่องคอมพิวเตอร์
เรื่อง IT น่าสนใจ
ดาวน์โหลดโปรแกรมฟรี
เรื่องคอมน่ารู้
เทคโนโลยีใหม่ ๆ
ระบบคอมพิวเตอร์ ที่น่าสนใจ

10/14/2552

โคมไฟลดโลกร้อน...จากขวดน้ำอัดลม




จากภาวะโลกร้อนที่เกิดในปัจจุบันทำให้มนุษย์เราหันมาใส่ใจช่วยกันหาทางแก้ไขกันมากขึ้น สิ่งต่างๆเหล่านั้นเกิดขึ้นมาจากฝีมือของมนุษย์ ดังนั้นเราก็ควรหาแนวทางการแก้ไขก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป มองหาสิ่งที่เหลือใช้หรือสิ่งที่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์นำกลับมาใช้ใหม่ ในรูปแบบการดีไซน์ผสมผสานกับไอเดียกิ๊ฟเก๋สร้างมูลค่าสินค้าได้เหมือนเช่นกับ ‘โคมไฟลดโลกร้อน..จากขวดน้ำขัดลม’ ที่กำลังเปล่งแสงสว่างทางความคิดของใครๆ หลายๆ คนในขณะนี้


คุณสุภานี หรือที่ทุกคนเรียกกันว่าอาจารย์ ‘กบ’ เจ้าของผลงานโคมไฟลดโลกร้อน...จากขวดน้ำอัดลมเล่าถึงการที่มาสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาจนเป็นที่ติดอกติดใจของกลุ่มลุกค้าว่า ‘แต่ก่อนเคยทำงานเป็นเซลล์ในโรงงานและเคยทำงานกับบริษัททัวร์มาก่อน ทำให้รู้จักกับผู้คนมากมายและมีลูกค้าค่อนข้างมาก ในแต่ละปีบริษัทต้องเสียเงินค้าของขวัญเป็นจำนวนมาก จึงได้มองเห็นงานโคมไฟจากขวดน้ำอัดลมน่าจะเป็นสินค้าที่ลูกค้าชื่นชอบ เพราะว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ สามารถใช้งานได้จริง และยังเป็นการลดภาวะโลกร้อนที่ทั่วโลกให้ความสนในขณะนี้ หลังจากนั้นจึงตัดสินใจเข้าไปเรียนกับอาจารย์ที่มีความรู้ในด้านการดีไซน์ขวดน้ำอัดลมให้เป็นโคมไฟเป็นเวลากว่า 1 ปีเศษ จากนั้นก็ได้ออกมาเปิดร้านเป็นของตัวเองชื่อว่าร้าน ‘ในฝัน’ ที่เกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เพราะคิดว่าสินค้าตัวนี้น่าจะสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้ และมีช่องทางในการจำหน่ายมหาศาล


ช่วงแรกที่ผลิตชิ้นงานออกยังไม่คิดที่จะเปิดสอนให้กับใครเลย แต่เมื่อออกงานบ่อยครั้งก็มีผู้คนเข้ามามุง (ไทยมุง) ถามวิธีการต่างๆ ต้องการเรียนการทำโคมไฟลดโลกร้อนกันเป็นจำนวนมาก เมื่อความต้องการของลูกค้าที่สนใจเรียนมากขึ้นเรื่อยๆ จึงตัดสินใจเปิดคอร์ดสอนระยะเวลา 2-3 วัน ในราคา 1,000 บาท (ราคาอาจมีการปรับเปลี่ยนได้) โดยที่ผู้เรียนจะได้ฝึกตั้งแต่สินค้าแบบง่ายจนถึงระดับยาก (ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เป็น) ทุกคนที่มาเรียนตั้งแต่เปิดสอนมาเป็นทุกคน แต่ว่าจะใช้เวลามากน้อยนั้นขึ้นอยู่กับความตั้งใจด้วยนะค่ะ’



สำหรับความโดเด่นของโคมไฟลดโลกร้อนของอาจารย์กบนั้นอยู่ที่รูปแบบการดีไซน์ที่ไม่ซ้ำใคร สีสันสดใส เมื่อเปิดไฟแสงสว่างจะเปล่งประกายความสวยจากภายในสู่ภายนอก ขนาดฝรั่งยังงงเลย และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ความละเอียดที่ผู้สร้างสรรค์ผลงานนั้นควรจะให้ความสำคัญมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นการตัดขวดหรือแม้แต่การเพ้นท์สีลงก็ตาม จะต้องละเอียดใจเย็น แล้วผลงานที่ได้ก็จะมีคุณค่าสร้างรายได้มหาศาลให้คุณในที่สุด สินค้าที่ทำขึ้นมานั้นได้แก่ โคมไฟลดโลกร้อน...จากขวดน้ำอัดลม, โอ่งผ้าไหม, กล่องทิชชู และดอกไม้จากผ้าใยบัว ซึ่งราคาในการจำหน่ายนั้นเริ่มตั้งแต่ 89-2,000 บาท มีให้เลือกมากมายหลายรูปแบบ อาทิ ลายลีลาวดี ลายทานตะวัน ชบาซ้อน ลายนก ลายดอกไม้ ลายผีเสื้อ ฯลฯ


การที่เราดีไวน์ขวดน้ำอัดลมให้กลายเป็นสินค้าที่มีค่ามหาศาลจากขวดน้ำธรรมดาที่เราดื่ม แล้วกลายเป็นขยะชิ้นสำคัญที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน แต่ขวดน้ำก็ไม่สามารถที่จะผลิตได้ทุกชนิด อาจารย์กบเล่าต่อไปอีกว่า..สำหรับขวดน้ำอัดลมที่เหมาะแก่การทำโคมไฟน่าจะเป็นชนิดที่ไม่มีลวดลายหรือรอยต่างๆภายนอกขวด เพราะว่าหากมีรอยเว้าจะทำให้การตัดขวดไม่สวย หรือการเพ้นท์ก็จะไม่เรียบ เพ้นท์ยาก ขนาดขวดที่นิยมใช้ขนาด 2 ลิตรขึ้นไป

..แม้จะเป็นการใช้ของให้เกิดประโยชน์ให้มากที่สุดจากที่ไม่มีราคา ตอนนี้ขวดกลับมาเป็นสินค้าที่ต้องรับซื้อแล้วจากเดิมเคยรับซื้อใบละ 1 บาท ปัจจุบันรับซื้อที่ใบละ 5 บาท แต่ก็ยังหาซื้อลำบาก เพราว่าเมื่อสินค้าเป็นที่ต้องการของตลาดมากเท่าไหร่ วัตถุดิบในการผลิตย่อมหายากและราคาสูงขึ้น เพราะการใช้ขวดในการทำโคมไฟลดโลกร้อน 1 ชิ้นใช้ประมาณ 2-3 ใบในการตกแต่ง

ส่วนลูกค้าของโคมไฟลดโลกร้อนนั้นเป็นใครมาจากไหน ไม่ต้องกลัวเลยว่าผลิตชิ้นงานแล้วจะขายไม่ได้ (แต่สินค้าของคุณต้องมีคุณภาพด้วยนะ ไม่ใช่ทำผ่านๆไปเท่านั้น) ราคาจะสูงไม่สูงขึ้นอยู่กับรูปแบบสินค้าที่ดีไซน์ออกมาด้วย เมื่อได้สินค้าออกมาไม่มีตลาดทางร้านในฝันเรายินดีรับซื้อสินค้าที่คุณผลิต ซึ่งนักเรียนที่เรียนจบตอนนี้กว่า 70 คน ยังผลิตส่งให้กับทางร้านในฝันอยู่ และบางคนก็สั่งเข้ามาเพื่อจะนำไปขายในจังหวัดต่างๆ ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นนักท่องเที่ยว บริษัททัวร์ โรงแรม ร้านอาหาร เป็นต้น

อุปกรณ์ในการทำ คือ 1.ขวดน้ำอัดลมขนาด 2 ลิตร 2. หัวแร้งแบบใบมีด (ทำเอง) 3.สีเพ้นท์แก้ว/กระจก 4. ปากกาเคมี 5. ลายหรือแม่พิมพ์ 6.ทินเนอร์

วิธีการทำ

1. นำขวดมาล้างให้สะอาด ด้านนอกเช็ดด้วยทินเนอร์ทิ้งไว้ให้แห้ง

2. ตัดก้นขวดออกตามรอยหยัก นำแม่แบบเข้าไปวางทาบในขวด แล้วใช้ปากาเคมีวาดด้านนอกขวดตามแบบ

3. ใช้หัวแร้งใบมีดที่มีความร้อนตัดตามรอยวาดเอาไว้จนครบ ล้างน้ำให้สะอาด เช็ดด้วยทินเนอร์

4. นำสีมาเพ้นท์ตามลวดลายตามต้องการ และตกแต่งประดับให้สวยงาม

5. นำหลอดไฟมาติดด้านใน ทดสอบว่าติดหรือไม่ เตรียมจำหน่าย

หากคุณกำลังมองหาอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ นี่เป็นอีกผลงานหนึ่งที่ได้นำเสนอความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดแรงบันดาลกับหลายๆ ท่านที่กำลังมองไม่เห็นหนทางการการทำธุรกิจกิจ หรือนึกไม่ออกว่าจะทำอะไรดีในยามเศรษฐกิจแบบนี้ หากท่านใดสนใจต้องการที่จะเรียนรู้กี่ทำโคมไฟลดดลร้อน อาชีพที่สามารถสร้างผลกำไรให้คุณได้เกิน 100 % จริง !! หรือสนใจสินค้าเพื่อนำไปตกแต่งบ้าน ร้านอาหาร โรงแรม เป็นของฝากของขวัญให้กับคนพิเศษ สามารถติดต่อได้ที่ คุณสุภานี หรืออาจารย์กบ 08-3919-8387 หรือไปชมด้วยตนเองที่ร้านในฝัน เกาะเกร็ด จังหวัดนนทบุรีก้ได้นะค่ะ

การทำผ้าบาติก




เทคนิคการทำผ้าบาติก


อุปกรณ์ที่ใช้

1.ผ้ามัสลิน ผ้าป่าน ผ้าฝ้าย
2.กรอบไม้บาติก
3.เทียนขี้ผึ้งผสมพาราฟินสำเร็จ
4.ปากกาเดินเทียน (จันติ้ง) เลือกเบอร์๐ หรือ เบอร์ 2
5.ลายผ้าบาติก ดินสอ 6 B
6.โซเดียมซิลิเกท ( เคลือบสี )
7.สีบาติก
8.แปรงทาสีขนาด 1 นิ้ว
9.เตาไฟฟ้า
10.หม้อเคลือบทนความร้อนสูง
11.หม้อต้มน้ำ
12.ไม้สำหรับคนผ้า
13.พู่กัน เบอร์ 4,6,12
ขั้นตอนการเพ้นท์บาติก

1. นำผ้าที่ทำความสะอาดแล้ว นำมาขึงให้ตึงกับกรอบไม้บาติกโดยวิธีการขลิบผ้าแล้วฉีกให้พอดี
2. นำลายที่เตรียมไว้แล้วมาทาบด้านล่างกรอบไม้เพื่อทำการลอกลายลงบนผ้าด้วยดินสอ 2 Bขึ้นไป
3. นำจันติ้งแช่ให้ร้อนและตักเทียนมากันขอบกรอบรอบนอกก่อน เพื่อกันสีลามไปที่กรอบไม้ ( สีจะเน่าเพราะกรอบเนื้อไม้ออก )
4. เ ดินเทียนขณะที่เทียนอุ่นกำลังดี ทดสอบที่เศษผ้าก่อนว่าเทียนเขียนแล้วได้ขนาดเส้นที่ต้องการแล้วหรือไม่ เทียนอาจจะร้อนจนเกินไปหรือเย็นจนเกินไปเส้นเทียนไม่ควรใหญ่เกิน 2 –3 ม.ม.
5. เดินเส้นเทียนตามลายที่เขียนเอาไว้ระวังอย่าให้เส้นเทียนขาดตอน หรือมีด้านที่มีการขาดตอนของเส้นเทียนเพราะจะทำให้เวลาที่ลงสี สีจะรั่วเข้าหากัน สีจะเน่าไม่สวย ( ตรวจสอบเส้นเทียนทุกครั้งไม่ให้รั่ว )
6. ลงสีตามที่ต้องการลงในลาย คล้ายเป็นการระบายสีลงในช่องว่างแต่ต้องระวังในเรื่องของคู่สีที่ใช้แต่ต้องระวังในเรื่องของคู่สีที่ใช้อย่าใช้สีตรงข้ามกันมาอยู่ติดกัน เพราะมีโอกาสรั่วเข้าหากันได้ถ้าเส้นเทียนขาดตอน รอจนสี แห้ง สนิท ( ในการลงสีบาติกควรเพิ่มสีให้เข้มขึ้นกว่าที่เห็นอยู่ 20 %เพื่อสีตกออกไปในขั้นตอนต่อไป )
7. ทาโซเดียมซิลิเกต( เคลือบสี ) เพื่อเป็นการกันสีตกเป็นขั้นตอนการหยุดสีเทลงอ่างใช้แปรงทาสี ทาให้ทั่วผ้าอย่าให้ขาด เพราะในส่วนที่ไม่มีสีจะตกจนหมดไปเอง รอจนแห้งแข็ง หมักเอาไว้เป็น เวลาโดยประมาณ 6-12 ชั่งโมง ( แล้วแต่ขนาดผ้า )
8. นำผ้าที่หมักไว้ตามเวลาที่กำหนด มาซักด้วยน้ำผสมผงซักฟอกนิดหน่อย ซักตามปกติเพื่อให ้ เมือกของโซเดียมซิลิเกตหลุดออกไป เมื่อหมดลื่นมือแล้วนำมาซักด้วยน้ำสะอาดธรรมดา หลายๆน้ำ จนกว่าน้ำที่ซักจะใสจึงหยุดขั้นตอนการซัก คลี่ออกผึ่งอย่าให้เป็นก้อน เพราะสีจะตกใส่กัน
9. ต้มน้ำเดือดใส่ผงซักฟอกในหม้อที่น้ำท่วมผ้า นำผ้าที่ซักเอา โซเดียมซิลิเกทออกแล้วลงต้ม ใช้ไม้คนผ้ากดผ้าให้จมน้ำร้อน เพื่อให้เทียนที่เขียนลายเอา ไว้ออกมาจากผ้าด้วยความร้อนใช้เวลา ประมาณ 15 – 20 นาที หรือจนกว่าเทียนจะออกจนหมดไป นำขึ้นมาซักน้ำสะอาดต่อไปเหมือน ซักผ้าปกติ ถ้ามีเทียนไขติดอยู่ที่ผ้าบ้าง ให้ขยี้ซักน้ำออกไปจนหมด นำขึ้นตาก รีด เย็บริมผ้า

10/13/2552

ผู้ป่วยความจำเสื่อม - Mild

เพลงฮิต 20 อันดับ ตั้งแต่ 5-11 ตุลาคม 52

1. คนไม่มีเวลา - ว่าน ธนกฤต
2. ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว - ดิว
3. จุดหมายปลายทาง ของหัวใจ - กานต์ วง Hum
4. ผู้ป่วยความจำเสื่อม - Mild
5. หวาน - Calories Blah Blah
6. อ๊อด อ๊อด - The Richman Toy
7. Trouble Is a friend - lenke
8. ที่ของเธอ - รุจ The star
9. เป็นเพื่อนกับเธอไม่ได้จริง ๆ - ขนมจีน
10. เวลาของฉันกับเธอ - เจม เรืองศักดิ์
11. My Bloody Balentine - Tata Yang
12. นอนน้อย - แชมป์ ศุภวัฒน์
13. ผิดเพราะรัก - กิ่ง The Star
14. โปรดอย่ามาสงสาร - ตู่ ภพธร
15. ชีวิตหลังความเจ็บปวด - แดน วรเวช
16. Away for so - บอย โกสิยพงษ์ Feat. นภ พรชำนิ
17. เพียงผู้ข้ายคนนี้ (ไม่ใช่ผู้วิเศษ)
18. ไม่เหลืออะไรจะเสีย - บี พีระพัฒน์
19. หาไม่เจอหรือเธอไม่มี - Amfine Feat. เก่ง Infamous
20. บทกวี - Artfloor

รายชื่อเพลงใหม่ เดือนตุลาคม 2552

1. ที่ฉันเคยยืน - น้ำชา
2. ลูกไม้ตื้น ๆ  - น้ำชา
3. อยู่บำรุง - ว่าน
4. คนไม่มีเวลา - ว่าน
5. เธอเป็นแฟนฉันนะ - แกรนด์ The star
6. ผิดเพราะรัก - กิ่ง The star
7. ความอดทนของคนที่รอ - ชาช่า
8. ขอโทษแล้วหายเจ็บไหม - กิ่ง The star
9. หาไม่เจอหรือเธอไม่มี - Am fine
10. หวาน - calories Blah Blah
11. อ๊อด อ๊อด - The Richman Toy

12. กระเป๋าแบนแฟนยิ้ม - The Richman Toy

13. นอนน้อย - แชมป์ ศุภวัฒน์

10/11/2552

ปิดเทอมอย่างไรให้ลูกรักปลอดภัย

คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่รู้ดีว่า เด็กๆ ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเมื่อลงเล่นน้ำ และควรสวมใส่หมวกนิรภัยเมื่อขับขี่จักรยาน, เล่นเสก็ตบอร์ด ฯ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บตัวจากอุบัติเหตุจนถึงขั้นต้องนำส่งโรงพยาบาล




แต่เมื่อถึงเวลาปิดเทอมที่เด็กๆ อาจเล่นอยู่ตามลำพังกับญาติผู้ใหญ่ หรือพี่เลี้ยง โดยคุณพ่อคุณแม่อยู่ที่ทำงานระหว่างวัน ความระมัดระวังในอุบัติเหตุอาจถูกละเลย ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของลูก คุณพ่อคุณแม่ควรกำชับกำชาญาติผู้ใหญ่, พี่เลี้ยงหรือผู้ปกครองที่รับภาระดูแลลูกระหว่างปิดเทอม



มีข้อควรพิจารณาสำหรับคุณพ่อคุณแม่เพื่อความปลอดภัยของลูกๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ



1. ตรวจสอบสนามเด็กเล่นในหมู่บ้านที่อาศัย และทุกแห่งที่จะพาลูกไปเล่นว่า พื้นสนามเด็กเล่นมีความเหมาะสมและปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน หากพื้นผิวเป็นซีเมนต์เด็กๆ จะมีความเสี่ยงต่อการตกลงมาจากเครื่องเล่น แล้วเป็นอันตรายต่อศีรษะหากกระแทกพื้นแข็งอย่างนั้น พื้นผิวควรเป็นทราย หรือวัสดุปูพื้นพิเศษสำหรับรองรับการหล่นจากเครื่องเล่นของเด็กๆ ที่จะไม่เป็นอันตรายเกินไป



ควรพิจารณาช่องว่างระหว่างเครื่องเล่นแต่ละชิ้นด้วยว่ามีความห่างกันมากน้อยแค่ไหน มีที่ว่างเพียงพอที่ลูกรักจะวิ่งเล่นรอบๆ และไม่หล่นลงมาจากเครื่องเล่นชนิดหนึ่ง แล้วกระแทกเข้ากับเครื่องเล่นอีกชนิดซึ่งตั้งอยู่ติดๆ กัน



ควรตรวจสอบ เช็ค โยก ขยับ ดูว่าเครื่องเล่นแต่ละชนิดในสนามเด็กเล่นนั้นๆ มีความมั่นคงแข็งแรงเพียงพอ ไม่มีอุปกรณ์ชิ้นส่วนใด หลุด หลวมโพลกเพลก น็อตบางตัวหาย หลุดไปแล้ว และไม่มีชิ้นส่วนแตกหัก จนมีเศษแหลมที่จะทิ่มแทง เป็นอันตรายแก่ลูกของเรา



อย่าลืมนะคะว่า สนามเด็กเล่น ส่วนมากจะมีแต่เด็กๆ ไปวิ่งเล่น ขณะที่ผู้ใหญ่นั่งดู, ยืนดูรอบๆ น้อยคนที่จะเข้าไปทำการสำรวจและเช็คดูว่า ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไม่หลุด, โยก, แตกหัก เด็กๆ เองอาจเอาแต่เล่น ไม่ได้สนใจนัก จนกว่าจะมีเสียงหักโครมลงมาจากเครื่องเล่น ผู้ใหญ่จึงจะรีบวิ่งเข้าไปตรวจดู และในที่สุด ลงท้ายด้วยเด็กๆ เจ็บตัวจนต้องถูกหามนำส่งโรงพยาบาล



2. เมื่อถึงเรื่องการว่ายน้ำ ซึ่งเป็นกิจกรรมสุดโปรดของเด็กๆ ทุกคน ต้องให้แน่ใจนะคะว่า มีผู้คอยดูแลลูกรักอย่างใกล้ชิด อย่าฝากชีวิตลูกไว้กับคนอื่นถ้าไม่แน่ใจจริงๆ และคนที่ดูแลลูกแทนเรานั้น ต้องว่ายน้ำเป็นด้วย



ส่วนลูกเราเองนั้น ควรได้รับการอบรมจากเราว่า ลูกไม่ควรว่ายน้ำตามลำพัง สอนให้ลูกรู้ว่าไม่ควรกระโดดลงน้ำ หรือดำน้ำโดยไม่รู้ว่า พื้นใต้น้ำนั้นเป็นอย่างไร มีความลึกมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะหากเล่นน้ำตก, บ่อน้ำ, ลำธาร, แม่น้ำ



สำหรับสระว่ายน้ำ ไม่ควรอนุญาตให้เด็กลงน้ำโดยไม่มีผู้ใหญ่ลงด้วย โดยเฉพาะเด็กที่ว่ายน้ำยังไม่เป็น หรือ ยังไม่แข็ง ควรมองหาอุปกรณ์ช่วยเหลือว่าอยู่ใกล้สามารถหยิบจับฉวยได้ทันที หากเกิดอุบัติเหตุ และควรมีโทรศัพท์อยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา หากต้องโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ หรือแม้กระทั่งโทร.เรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน



อย่าอนุญาตให้เด็กๆ ที่ว่ายน้ำไม่เป็น ใช้ "ห่วงยาง" หรืออุปกรณ์ช่วยพยุงตัว แล้วอยู่ตามลำพัง เนื่องจากอาจทำให้เด็กๆ เข้าใจผิดว่า อุปกรณ์เหล่านี้สามารถช่วยชีวิตเขาได้หากเกิดอุบัติเหตุ และสามารถพาเด็กๆไปสู่น้ำลึกได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งผู้ใหญ่อาจไม่ทันระวังก็เป็นได้



พึงตระหนักให้ดีว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5ขวบ สามารถเกิดอุบัติเหตุจมน้ำได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นสระน้ำในบ้าน หรือ ที่ใดก็ตาม



3. เมื่อลูกเข้าไปเกี่ยวข้องกับบรรดาของเล่นที่มีล้อ....ไม่ว่าจะเป็นจักรยาน, สเก็ตบอร์ด, เล่นสเก็ต, สกู้ตเตอร์, ฯ ควรให้ลูกสวมใส่หมวกนิรภัยเสมอ ซึ่งเดี๋ยวนี้หาซื้อได้ไม่ยากแล้วนะคะ ราคาไม่แพง อย่างน้อยก็คุ้มค่ากับความปลอดภัยของศีรษะลูก หากเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับศีรษะขึ้นมา.... ฉะนั้น บอกลูกเลยว่า "ไม่ใส่หมวกนิรภัย ก็ไม่ต้องขี่จักรยาน, ไม่ต้องเล่นสเก็ตบอร์ด"



4. เมื่อปิดเทอม สิ่งที่หลายครอบครัวปฏิบัติเป็นประเพณี คือการพาลูกไปเที่ยวต่างจังหวัด ไม่ว่าจะค้างคืน หรือไม่ก็ตาม อาจเป็นชายทะเล, เดินดูโบราณสถาน หรือแม้กระทั่ง ไปเที่ยววัด ซึ่งบ่อยครั้งสถานที่เหล่านี้ เด็กๆ มักจะต้องอยู่กลางแสงแดดร้อนๆ อย่าลืม - ให้ลูกสวมหมวก และทาครีมกันแดดให้ลูกด้วยนะคะ เพื่อปกป้องผิวอ่อนจากแสงแดดแรงๆ ของเมืองไทย การทาครีมกันแดดไม่ได้หมายความว่า สามารถยืดระยะเวลาที่จะอยู่กลางแดดได้เป็นเวลานานกว่าปกติ การทาครีมกันแดดเป็นการปกป้องผิวเท่านั้น



นอกจากนั้น หมั่นสังเกตด้วยว่าลูกมีอาการปากแห้ง เหนียวด้วยหรือเปล่า หากต้องอยู่กลางแดดเป็นระยะเวลาพอสมควร ให้ลูกดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อป้องกันอาการขาดน้ำ ซึ่งจะทำให้ลูกเซื่องซึม, อ่อนเพลีย และอาจอาเจียนได้ ให้ลูกดื่มน้ำผลไม้เพื่อความสดชื่น แต่เครื่องดื่มที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทุกคน คือ น้ำเปล่าที่สะอาดค่ะ



ขอให้เด็กๆ ทุกคนใช้เวลาในช่วงปิดเทอมเล็กนี้อย่างมีความสุข, สนุกสนานและปลอดภัยนะคะ!!

ปิดเทอมอย่างไรให้ลูกรักปลอดภัย

คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่รู้ดีว่า เด็กๆ ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเมื่อลงเล่นน้ำ และควรสวมใส่หมวกนิรภัยเมื่อขับขี่จักรยาน, เล่นเสก็ตบอร์ด ฯ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บตัวจากอุบัติเหตุจนถึงขั้นต้องนำส่งโรงพยาบาล




แต่เมื่อถึงเวลาปิดเทอมที่เด็กๆ อาจเล่นอยู่ตามลำพังกับญาติผู้ใหญ่ หรือพี่เลี้ยง โดยคุณพ่อคุณแม่อยู่ที่ทำงานระหว่างวัน ความระมัดระวังในอุบัติเหตุอาจถูกละเลย ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของลูก คุณพ่อคุณแม่ควรกำชับกำชาญาติผู้ใหญ่, พี่เลี้ยงหรือผู้ปกครองที่รับภาระดูแลลูกระหว่างปิดเทอม



มีข้อควรพิจารณาสำหรับคุณพ่อคุณแม่เพื่อความปลอดภัยของลูกๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ



1. ตรวจสอบสนามเด็กเล่นในหมู่บ้านที่อาศัย และทุกแห่งที่จะพาลูกไปเล่นว่า พื้นสนามเด็กเล่นมีความเหมาะสมและปลอดภัยมากน้อยแค่ไหน หากพื้นผิวเป็นซีเมนต์เด็กๆ จะมีความเสี่ยงต่อการตกลงมาจากเครื่องเล่น แล้วเป็นอันตรายต่อศีรษะหากกระแทกพื้นแข็งอย่างนั้น พื้นผิวควรเป็นทราย หรือวัสดุปูพื้นพิเศษสำหรับรองรับการหล่นจากเครื่องเล่นของเด็กๆ ที่จะไม่เป็นอันตรายเกินไป



ควรพิจารณาช่องว่างระหว่างเครื่องเล่นแต่ละชิ้นด้วยว่ามีความห่างกันมากน้อยแค่ไหน มีที่ว่างเพียงพอที่ลูกรักจะวิ่งเล่นรอบๆ และไม่หล่นลงมาจากเครื่องเล่นชนิดหนึ่ง แล้วกระแทกเข้ากับเครื่องเล่นอีกชนิดซึ่งตั้งอยู่ติดๆ กัน



ควรตรวจสอบ เช็ค โยก ขยับ ดูว่าเครื่องเล่นแต่ละชนิดในสนามเด็กเล่นนั้นๆ มีความมั่นคงแข็งแรงเพียงพอ ไม่มีอุปกรณ์ชิ้นส่วนใด หลุด หลวมโพลกเพลก น็อตบางตัวหาย หลุดไปแล้ว และไม่มีชิ้นส่วนแตกหัก จนมีเศษแหลมที่จะทิ่มแทง เป็นอันตรายแก่ลูกของเรา



อย่าลืมนะคะว่า สนามเด็กเล่น ส่วนมากจะมีแต่เด็กๆ ไปวิ่งเล่น ขณะที่ผู้ใหญ่นั่งดู, ยืนดูรอบๆ น้อยคนที่จะเข้าไปทำการสำรวจและเช็คดูว่า ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไม่หลุด, โยก, แตกหัก เด็กๆ เองอาจเอาแต่เล่น ไม่ได้สนใจนัก จนกว่าจะมีเสียงหักโครมลงมาจากเครื่องเล่น ผู้ใหญ่จึงจะรีบวิ่งเข้าไปตรวจดู และในที่สุด ลงท้ายด้วยเด็กๆ เจ็บตัวจนต้องถูกหามนำส่งโรงพยาบาล



2. เมื่อถึงเรื่องการว่ายน้ำ ซึ่งเป็นกิจกรรมสุดโปรดของเด็กๆ ทุกคน ต้องให้แน่ใจนะคะว่า มีผู้คอยดูแลลูกรักอย่างใกล้ชิด อย่าฝากชีวิตลูกไว้กับคนอื่นถ้าไม่แน่ใจจริงๆ และคนที่ดูแลลูกแทนเรานั้น ต้องว่ายน้ำเป็นด้วย



ส่วนลูกเราเองนั้น ควรได้รับการอบรมจากเราว่า ลูกไม่ควรว่ายน้ำตามลำพัง สอนให้ลูกรู้ว่าไม่ควรกระโดดลงน้ำ หรือดำน้ำโดยไม่รู้ว่า พื้นใต้น้ำนั้นเป็นอย่างไร มีความลึกมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะหากเล่นน้ำตก, บ่อน้ำ, ลำธาร, แม่น้ำ



สำหรับสระว่ายน้ำ ไม่ควรอนุญาตให้เด็กลงน้ำโดยไม่มีผู้ใหญ่ลงด้วย โดยเฉพาะเด็กที่ว่ายน้ำยังไม่เป็น หรือ ยังไม่แข็ง ควรมองหาอุปกรณ์ช่วยเหลือว่าอยู่ใกล้สามารถหยิบจับฉวยได้ทันที หากเกิดอุบัติเหตุ และควรมีโทรศัพท์อยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา หากต้องโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ หรือแม้กระทั่งโทร.เรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน



อย่าอนุญาตให้เด็กๆ ที่ว่ายน้ำไม่เป็น ใช้ "ห่วงยาง" หรืออุปกรณ์ช่วยพยุงตัว แล้วอยู่ตามลำพัง เนื่องจากอาจทำให้เด็กๆ เข้าใจผิดว่า อุปกรณ์เหล่านี้สามารถช่วยชีวิตเขาได้หากเกิดอุบัติเหตุ และสามารถพาเด็กๆไปสู่น้ำลึกได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งผู้ใหญ่อาจไม่ทันระวังก็เป็นได้



พึงตระหนักให้ดีว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5ขวบ สามารถเกิดอุบัติเหตุจมน้ำได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะเป็นสระน้ำในบ้าน หรือ ที่ใดก็ตาม



3. เมื่อลูกเข้าไปเกี่ยวข้องกับบรรดาของเล่นที่มีล้อ....ไม่ว่าจะเป็นจักรยาน, สเก็ตบอร์ด, เล่นสเก็ต, สกู้ตเตอร์, ฯ ควรให้ลูกสวมใส่หมวกนิรภัยเสมอ ซึ่งเดี๋ยวนี้หาซื้อได้ไม่ยากแล้วนะคะ ราคาไม่แพง อย่างน้อยก็คุ้มค่ากับความปลอดภัยของศีรษะลูก หากเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับศีรษะขึ้นมา.... ฉะนั้น บอกลูกเลยว่า "ไม่ใส่หมวกนิรภัย ก็ไม่ต้องขี่จักรยาน, ไม่ต้องเล่นสเก็ตบอร์ด"



4. เมื่อปิดเทอม สิ่งที่หลายครอบครัวปฏิบัติเป็นประเพณี คือการพาลูกไปเที่ยวต่างจังหวัด ไม่ว่าจะค้างคืน หรือไม่ก็ตาม อาจเป็นชายทะเล, เดินดูโบราณสถาน หรือแม้กระทั่ง ไปเที่ยววัด ซึ่งบ่อยครั้งสถานที่เหล่านี้ เด็กๆ มักจะต้องอยู่กลางแสงแดดร้อนๆ อย่าลืม - ให้ลูกสวมหมวก และทาครีมกันแดดให้ลูกด้วยนะคะ เพื่อปกป้องผิวอ่อนจากแสงแดดแรงๆ ของเมืองไทย การทาครีมกันแดดไม่ได้หมายความว่า สามารถยืดระยะเวลาที่จะอยู่กลางแดดได้เป็นเวลานานกว่าปกติ การทาครีมกันแดดเป็นการปกป้องผิวเท่านั้น



นอกจากนั้น หมั่นสังเกตด้วยว่าลูกมีอาการปากแห้ง เหนียวด้วยหรือเปล่า หากต้องอยู่กลางแดดเป็นระยะเวลาพอสมควร ให้ลูกดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อป้องกันอาการขาดน้ำ ซึ่งจะทำให้ลูกเซื่องซึม, อ่อนเพลีย และอาจอาเจียนได้ ให้ลูกดื่มน้ำผลไม้เพื่อความสดชื่น แต่เครื่องดื่มที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทุกคน คือ น้ำเปล่าที่สะอาดค่ะ



ขอให้เด็กๆ ทุกคนใช้เวลาในช่วงปิดเทอมเล็กนี้อย่างมีความสุข, สนุกสนานและปลอดภัยนะคะ!!

คนตัวจิ๋วสนุกกับคณิตศาสตร์

แม้ว่าทารกจะเพิ่งเข้าสู่วัยหัดคลาน ก็สามารถเรียนรู้คณิตศาสตร์อย่างสนุกสนานได้แน่นอน ว่าแต่จะทำอย่างไรล่ะ..ตามมาดูโชว์กันค่ะ แล้วอย่าลืมลงมือทำกิจกรรมไปพร้อมกันเลยนะคะ....
กิจกรรมคณิตศาสตร์สำหรับเด็กวัย 7 เดือน - 3 ขวบ

กิจกรรมที่ 1: หนูตัวสูงขึ้นนะ:
คุณแม่นั่งฝั่งตรงข้ามกับลูกวัยจิ๋วเพื่อให้ลูกมองเห็นคุณแม่ได้ชัดๆ คุณแม่ยกมือขึ้นสูงเหนือระดับศีรษะพลางบอกกับลูกว่า "ตัวสูงขึ้น" ทำเสียงสูงด้วยก็ดีค่ะ สร้างอารมณ์สนุกให้ลูก ทำซ้ำอีกสัก 2 - 3 ครั้ง จากนั้นค่อยๆ ยกมือลูกให้อยู่เหนือระดับศีรษะของลูก แล้วพูดซ้ำอีกครั้งว่า "ตัวสูงขึ้น"
สักพักลูกจะตอบสนองจากการที่คุณแม่พูดคำว่า "ตัวสูง" ลูกจะพยายามชูมือขึ้นในอากาศทุกครั้งที่คุณแม่พูดว่า "ตัวสูง"เพื่อโชว์ว่าตัวเองสูงขึ้นแค่ไหน

กิจกรรมที่ 2: คณิตศาสตร์ในอ่างอาบน้ำ
นักคณิตศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตกาลชื่อก้องโลกอย่างอาร์คีมิดีสค้นพบหลักการทางคณิตศาสตร์ขณะอาบน้ำในอ่างอาบน้ำจนต้องตะโกนออกมาว่า "ยูเรก้า" ฉันใด ลูกตัวน้อยของคุณก็สามารถสนุกกับคณิตศาสตร์ขณะอาบน้ำในอ่างอาบน้ำได้ฉันนั้นเช่นกัน (เอ๊ะ...เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย)
ถึงแม้ว่าเจ้าตัวน้อยจะยังไม่ค้นพบหลักการทางคณิตศาสตร์ขณะเล่นน้ำในอ่างอาบน้ำ แต่การันตีได้ว่า เจ้าตัวน้อยจะค้นพบความสนุกสุขใจจนต้องร้อง.. อือ อา..ออกมาอย่างแน่นอน 555 เพราะมีคุณแม่คนเก่งคอยสรรหากิจกรรมสนุกๆ มาให้ลูกรักเล่นนั่นเอง
ว่าแล้วขอแรงคุณพ่อจอมพลังหน่อยนะคะ ช่วยตอกตะปูที่ก้นถาดพลาสติคให้เป็นรูเล็กๆ ทั่วทั้งถาด (ถาดที่ซื้อของมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตเป็นสีขาวๆ น่ะค่ะ) แล้วตอกตะปูถาดอีกใบให้รูใหญ่กว่าถาดอันแรกทั่วทั้งถาด เราก็จะได้ ถาด 2 ใบ - ถาดรูเล็กใบหนึ่ง และถาดอีกใบรูใหญ่กว่า
ขณะที่ลูกเล่นน้ำในอ่างอาบน้ำ คุณแม่ชวนลูกเอาถาดรูเล็กใส่น้ำให้เต็ม แล้วยกขึ้นเหนือน้ำ น้ำจะไหลออกจากรูถาด แต่เนื่องจากรูเล็ก น้ำจึงค่อยๆ ไหลออกมา
ส่วนถาดอีกใบ ที่มีรูใหญ่ ทำเช่นเดียวกัน คือ ตักน้ำใส่ถาดรูใหญ่ให้เต็ม แล้วให้ลูกค่อยๆ ยกถาดขึ้น จะเห็นว่าน้ำไหลพรูออกจากรูอย่างรวดเร็ว เป็นโอกาสดีที่คุณแม่จะพูดอธิบายให้ลูกฟังว่า ทำไมน้ำจึงไหลออกจากถาด 2 ใบ ในปริมาณที่แตกต่างกัน ไม่ต้องเลคเชอร์จนลูกเบือนหน้าหนีคุณแม่ตั้งแต่ยัง เล็กนะคะ แค่พูดเปรียบเทียบให้ลูกเห็นความแตกต่างนิดหน่อยก็พอ
เคล็ดลับ: เพิ่มความสนุกให้ลูกขณะดูน้ำไหลออกจากรูถาดอย่างรวดเร็วด้วยการเจาะรูเพิ่มที่ด้านข้างของถาด

กิจกรรมที่ 3: ตะกร้าผ้าพาสนุก
ต่อไปเป็นเกมตะกร้าผ้าพาสนุก ชื่อก็บอกว่าแล้ว ดังนั้นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้คือตะกร้าผ้านั่นเอง ขอ 2 ใบนะคะ ตะกร้าผ้าใบแรก - ใส่ผ้าให้เต็มตะกร้าเลยค่ะ คุณแม่ชี้ให้ลูกดูตะกร้าผ้าใบนี้แล้วร้องบอกว่า "ผ้าเต็มตะกร้าเลย" แล้วชวนลูกคว่ำตะกร้า กอบเอาผ้าออกจากตะกร้าให้หมด ลูกจะสนุกมากค่ะ ถนัดอยู่แล้วงานคว่ำของแบบนี้ ถูกใจหนูที่ซู๊ด เมื่อช่วยกันนำผ้าออกจากตะกร้าหมดแล้ว คุณแม่ก็บอกลูกตัวน้อยว่า "ผ้าหมดตะกร้าแล้ว" เพื่อให้ลูกเปรียบเทียบผ้าเต็มตะกร้า กับผ้าหมดตะกร้า (หรือจะใช้ว่า ผ้าเกลี้ยงตะกร้าก็ได้ค่ะ)
เปลี่ยนอุปกรณ์จากผ้าในตะกร้ามาเป็นของเล่นของลูกแทนก็ได้ค่ะ นำของเล่นใส่ตะกร้าจนเต็ม แล้วค่อยๆ หยิบของเล่นออกจากตะกร้าให้หมด ระหว่างนั้นคุณแม่อย่าลืม อธิบายและพูดคำว่า "เต็ม" และ "หมด" บ่อยๆ นะคะ
กิจกรรมที่ 4: เล็ก กลาง ใหญ่
คุณแม่จัดหาอุปกรณ์ที่ซ้อนกันเป็นชุดๆ และไม่แตกง่าย เช่น ถ้วยตวงพลาสติคขนาดต่างๆ จากเล็กไปหาใหญ่, ช้อนตวงขนาดต่างๆ, ถ้วยพลาสติคใบเล็ก - กลาง - ใหญ่, กล่องสำหรับใส่อาหารขนาด เล็ก - กลาง - ใหญ่ ฯ หากช้อนตวง และถ้วยตวง มีห่วงคล้องอยู่ ให้แกะออกเสียก่อน เพราะเราจะสอนลูกให้นำของขนาดต่างๆ มาซ้อนทับกัน จากเล็กไปหาใหญ่
คุณแม่ช่วยลูกซ้อนของเล็ก กลาง ใหญ่ ด้วยกัน จากนั้น ปล่อยให้ลูกลองซ้อนเองดู ระหว่างนั้น คุณแม่ควรพูดอธิบายให้ลูกฟังด้วยว่า ถ้วยใบนี้ขนาดเล็ก ถ้วยใบนี้ขนาดกลาง ถ้วยใบนี้ใหญ่ที่สุด เป็นการเล่นสนุกที่ทำให้ลูกมีโอกาสพัฒนาทักษะการเปรียบเทียบขนาดและการจัดลำดับสิ่งของ รวมทั้งช่วยให้ลูกเรียนรู้คำศัพท์ "เล็ก กลาง ใหญ่" ด้วย
กิจกรรมที่ 5: สนุกกับเพลงนับนิ้ว

กิจกรรมนี้สอนลูกนับนิ้วมือแต่ละข้าง ต้องขอขอบคุณผู้แต่งเพลงไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

คุณแม่ชวนลูกน้อยให้กางนิ้วมือ แล้วร้องเพลง "นับนิ้ว" ให้ลูกฟัง เนื้อร้องมีดังนี้ค่ะ

เพลง "นับนิ้ว"

เนื้อร้อง: ราตรี รุ่งทวีชัย

ทำนอง: เพลงช้าง
"นิ้ว นิ้ว นิ้ว นิ้วมือมีข้างละห้า

สองมือรวมกันเข้ามา นับนิ้วนั้นหนาได้เท่าไหร่ (ซ้ำ)

ฉันนับได้สิบนิ้วเอย"
ขณะร้องเพลง คุณแม่ควรสัมผัสนิ้วมืออันนุ่มนิ่มของลูกไปด้วยนะคะ เมื่อร้องเพลงจบ คุณแม่ชวนลูกนั
เลข โดยแตะนิ้วมือลูกทีละนิ้ว แล้วนับเลขไปพร้อมกันตามลำดับ "1 - 2 - 3 - 4 - 5 - 6 - 7 - 8 -9 - 10"

หวังว่ากิจกรรมนี้จะช่วยให้คุณแม่และลูกหนูตัวน้อยสนุกสนานเพลิดเพลินไปกับการนับเลขด้วยกันนะคะ.....

การฝึกขับถ่าย (Potty Training)

ความพร้อมในการควบคุมระบบการขับถ่าย

เรียนรู้การนั่งกระโถน

- สิ่งที่ควรทำ
ข้อคิดในการฝึกการขับถ่าย

- ท้องผูก
ความพร้อมในการควบคุมระบบการขับถ่าย
เด็กๆ สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ก็ต่อเมื่อร่างกายมีความพร้อม และต้องการที่จะให้บริเวณก้นสะอาดและแห้ง ไม่เลอะเทอะ ซึ่งเด็กแต่ละคนอาจมีความพร้อมแตกต่างกันไป ฉะนั้น คุณไม่ควรเปรียบเทียบลูกคุณกับเด็กคนอื่น
เด็กส่วนใหญ่จะควบคุมระบบขับถ่ายอุจจาระได้ก่อนการควบคุมระบบการถ่ายปัสสาวะ
เด็กเมื่ออายุประมาณ 2 ขวบ 1 ใน 2 คนมักจะควบคุม ระบบการขับถ่ายทั้งปัสสาวะและอุจจาระได้
เมื่ออายุประมาณ 3 ขวบ เด็ก 2 ใน 3 จะสามารถควบคุม ระบบการขับถ่ายทั้งอุจจาระและปัสสาวะทั้งกลางวันและกลางคืน ได้เกือบทุกวัน แม้ว่าจะเป็นวันที่มีเรื่องน่าตื่นเต้น, หงุดหงิด หรือพยายามฝึกฝนในการทำกิจกรรมบางอย่าง
เมื่ออายุประมาณ 5 ขวบ เด็กส่วนมากหรือเรียก ได้ว่าแทบทุกคนสามารถควบคุมระบบขับถ่ายทั้งอุจจาระและปัสสาวะได้ดี

เรียนรู้การนั่งกระโถน

เริ่มเมื่อไหร่ดี?

จะเป็นการช่วยได้มากเลยถ้าคุณจะระลึกอยู่เสมอว่า คุณไม่สามารถและไม่ควรที่จะบังคับขู่เข็ญลูกให้นั่ง กระโถนหรือเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่าย เมื่อถึงเวลาที่ลูกพร้อม ลูกจะนั่งถ่ายบนกระโถนเอง (หรือบนที่นั่งชักโครกสำหรับเด็ก) เพราะลูกเองก็ไม่อยากไปโรงเรียนโดยใส่ผ้าอ้อมตลอดเวลาเหมือนกัน ฉะนั้นเป็นการดีที่สุดถ้าคุณจะค่อยๆ ใช้วิธีกระตุ้น ชักจูงใจให้ลูก เกิดความอยากที่จะนั่งกระโถนเพื่อขับถ่ายเอง
คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่เริ่มฝึกลูกให้นั่งกระโถน เมื่ออายุประมาณ 18 - 24 เดือน ซึ่งระยะนี้เด็กพร้อมที่จะ ฝึกได้เป็นอย่างดี เพราะเด็กๆ จะมีความรู้สึกถึงท้อง ไส้การเคลื่อนไหวภายใน และความรู้สึกอยากถ่ายอุจจาระแล้ว ฉะนั้นลองสังเกตดูว่าเมื่อไหร่ที่คุณคิดว่าลูกพร้อมที่จะหัดนั่ง กระโถนก็ฝึกได้เลย ส่วนใหญ่แล้วเด็กมีระดับขั้นตอนใน พัฒนาการควบคุมระบบการขับถ่าย ดังนี้
เริ่มมีความรู้สึกว่าผ้าอ้อมที่นุ่งอยู่เฉอะแฉะ เปียก เลอะเทอะ
เริ่มมีความรู้สึกถึงท้องไส้ การเคลื่อนไหวภายใน และรู้สึกว่าอยากถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ และสามารถบอกคุณแม่ให้ทราบล่วงหน้าได้
จะแสดงท่าที ส่งสัญญาณให้คุณแม่ทราบล่วงหน้าว่า กำลังจะปล่อยออกมาแล้วนะ หรือปล่อยออกมาแล้วล่ะ
ถ้าลูกอยู่ใน 2 ขั้นสุดท้าย คุณจะพบว่าเป็นการไม่ยาก เลยที่จะฝึกหัดให้ลูกนั่งกระโถน หรือนั่งบนที่นั่งชักโครก สำหรับเด็ก (เป็นเบาะนิ่มๆ หรือเบาะพลาสติคสำหรับเด็กนั่ง แล้วครอบทับชักโครกอีกที) แต่ถ้าคุณฝึกลูกเร็วเกินไป คุณก็จะต้องเตรียมตัวอดทนกับอุบัติเหตุที่ลูกอาจทำเลอะเทอะ นอกกระโถนที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อลูกกำลังเรียนรู้การควบคุมระบบขับถ่าย

สิ่งที่ควรทำ
วางกระโถนไว้ในห้องน้ำ หรือในที่ซึ่งลูกจะมองเห็นได้ชัด และรู้ว่ามีไว้เพื่ออะไร ยิ่งถ้าคุณมีลูกที่โตกว่า และกำลังใช้กระโถนนี้ จะเป็นตัวอย่างแก่ลูกคนที่กำลังหัดนั่งกระโถนด้วย กรณีนี้จะช่วยได้มาก
ถ้าลูกคุณขับถ่ายอุจจาระเป็นเวลาในแต่ละวัน คุณอาจถอดผ้าอ้อมลูกออก แล้วแนะนำให้ลูกลองไปถ่ายในกระโถนดูบ้าง ถ้าลูกทำท่าไม่ชอบที่จะถ่ายใน กระโถน คุณก็ค่อยใส่ผ้าอ้อมให้ตามเดิม และลองพยายามดูใหม่ในอีก 2 อาทิตย์ถัดไป
ทันทีที่คุณรู้ว่าลูกกำลังจะปัสสาวะหรือถ่าย โดยที่ลูกส่งสัญญาณให้ทราบ คุณก็รีบถอดผ้าอ้อมให้ลูกแล้วพาไป นั่งกระโถน หรือเข้าห้องน้ำ (โดยนั่งที่นั่งสำหรับเด็กบนชักโครก) แต่ถ้าไม่ทันเพราะลูกทำเลอะเทอะเสียก่อน คุณก็จัดการเช็ดให้เรียบร้อย แล้วค่อยพยายามดูใหม่ใน อาทิตย์หน้าหรือสองอาทิตย์ถัดไป ซึ่งคงต้องใช้เวลาสักหน่อยที่จะ ทำให้ลูกเคยชินกับการนั่งถ่ายในกระโถน

ลูกจะดีใจเมื่อถ่ายในกระโถนได้สำเร็จ ฉะนั้น คุณควรให้กำลังใจและกล่าวชมเชยลูกในความพยายาม แต่ไม่ควรตอบแทนโดยการให้ขนมหรือสิ่งอื่นเป็นรางวัล เพราะจะทำให้เป็นการสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหาในภายหลัง

***เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ลูกของคุณจะต้องการนั่งกระโถนเอง***
ข้อคิดในการฝึกการขับถ่าย
ถ้าลูกไม่สนใจที่จะนั่งบนกระโถนเพื่อขับถ่าย คุณก็ไม่ควรเป็นกังวล ให้พยายามเตือนตัวเองเสมอว่า ในที่สุดแล้วลูกก็จะต้องการนั่งกระโถนเอง เพราะไม่อยากถ่ายเลอะเทอะในผ้าอ้อมอีกต่อไป

ลดความกดดัน

ถ้าลูกไม่ยอมนั่งกระโถนจริงๆ คุณก็ให้ลูกใส่ผ้าอ้อมตามเดิม รอสักประมาณ 2 อาทิตย์ถัดไป ค่อยมาเริ่มฝึกกันใหม่อีกครั้ง
แสดงให้ลูกทราบว่าคุณดีใจ และยินดีช่วยเหลือลูก เมื่อลูกนั่งถ่ายบนกระโถนได้สำเร็จ (หรือนั่งบนที่นั่งสำหรับเด็กบนชักโครก) หรือควบคุมระบบขับถ่ายได้ดี ไม่ทำเปียก
แต่ถ้าลูกทำเปียกบ้าง คุณควรพยายามใจเย็นและอดทน โดยอธิบายให้ลูกทราบว่า ลูกจะถ่ายแบบนี้ไม่ได้ ควรไปถ่ายในกระโถนหรือส้วม ไม่ต้องทำบ่อยแต่ลูกจะเข้าใจไปเอง
ลองจำกัดเครื่องดื่มบ้างโดยเฉพาะน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มช็อคโกแลต เด็กหลายคนในช่วงนี้ เป็นช่วงที่ชอบขอเครื่องดื่มมากๆ ควรให้น้ำผลไม้หรือเครื่องดื่มรสหวานเป็นรอบพิเศษมากกว่าที่จะให้เป็นกิจวัตร โดยให้ดื่มน้ำเปล่าในช่วงนั้นแทนน้ำผลไม้ซึ่งเด็กจะดื่มน้อยลง เพราะเด็กบางคนดื่มน้ำเพื่อความสบายใจและเพียงเพื่อจะหาอะไรทำเท่านั้น ลองหาสิ่งอื่นให้เด็กทำแก้เบื่อ

มีเด็กบางรายอายุ 4 ขวบยังทำเปียกในตอนกลางคืน
คุณอาจให้ใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปไปพลางๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องซักผ้าปูที่นอนทุกเช้า ขณะเดียวกันพยายามจำกัดเครื่องดื่มในตอนหัวค่ำ หรืออาจปลุกลูกไปเข้าห้องน้ำในตอนที่คุณกำลังจะเข้านอน เช่น 4 ทุ่ม เด็กส่วนมากสามารถหลับต่อได้ง่ายมาก

ถ้าลูกคุณไม่ทำเปียกเลยมาได้พักใหญ่ๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวันหรือกลางคืน แล้วเริ่มมาทำเปียกอีก แสดงว่าอาจเกี่ยวพันกับปัญหาทางอารมณ์ เช่นคุณแม่กำลังจะมีน้องใหม่ หรือย้ายบ้านใหม่ เด็กยังปรับตัวไม่ได้ ฉะนั้นคุณควรเข้าใจและเห็นใจลูก เพราะลูกอาจกำลังอยู่ในช่วงว้าวุ่นใจ ไม่ได้ตั้งใจจะทำเปียก
เมื่อถึงเวลาที่ลูกเข้าโรงเรียนแล้วเกิดทำเปียก ลูกคุณจะเริ่มว้าวุ่นใจ ไม่พอใจตัวเองเท่าๆ กับที่คุณรู้สึก ฉะนั้นคุณไม่ควรไปโกรธลูก เพราะลูกต้องการทราบว่าคุณแม่อยู่ข้างเดียวกับเค้าและเห็นใจเค้า และลูกก็จะพยายามช่วยคุณแก้ปัญหาในการทำเปียกของเขาด้วยเช่นกัน เพราะบัดนี้เขาจะคิดว่าเป็นปัญหาของเขามากกว่าเป็นปัญหาของคุณ

ปัญหาท้องผูกอุจจาระแข็ง
เด็กๆ ที่ท้องผูกในวัยฝึกขับถ่ายนี้ จะมีปัญหาได้ถ้าไม่ถ่ายอุจจาระออกให้หมด เพราะจะทำให้ท้องผูกมากขึ้น โดยอุจจาระจะแข็งออกมาครูดบริเวณทวาร หนักจนเจ็บเป็นแผล ทำให้เด็กๆกลั้นไว้ ไม่กล้าเบ่ง ท้องจึงผูกมากขึ้นไปอีก เมื่อปวดท้องอยากถ่าย ก็จะเจ็บทวารหนักมาก ฉะนั้นควรให้ลูกดื่มน้ำส้มคั้น, น้ำลูกพรุน, ทานผักผลไม้ และธัญพืชเช่น Cereal จะช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น หรืออาจไปปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยให้หายจากโรคท้องผูก

สอนลูกรักให้ช่วยงานบ้าน

การสอนลูกรักให้รู้จักช่วยงานบ้านแม้ว่าจะเป็นงานเล็กๆ น้อยๆ จัดว่าเป็นโอกาสทองในการช่วยให้ลูกเพิ่มความรู้สึกความภาคภูมิใจ และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง นอกจากนั้นยังทำให้ลูกได้ทราบ ว่าตัวเองมีบทบาทในการช่วยเหลือครอบครัวด้วยเหมือนกัน เด็กๆ จะรู้สึกดีและชอบใจเมื่อได้ทราบว่าตัวเองเป็นที่ต้องการของ คุณพ่อคุณแม่ การมอบหมายงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ให้ลูก รู้จักรับผิดชอบเป็นสิ่งที่มีความหมายเพราะเป็นการสื่อสารให้ลูก รู้ว่าคุณพ่อคุณแม่มีความเชื่อมั่นว่าลูกจะสามารถรับผิดชอบ และทำงานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงไปได้

แต่ถ้าหากว่างานบ้านที่มอบหมายให้ลูกทำนั้น จบลงด้วยความ เลอะเทอะ ปั่นป่วน และลูกทำไม่สำเร็จ คุณแม่อาจรู้สึกอยาก จะจัดการงานนั้นด้วยตัวเอง จะได้จบๆ กันไป เดี๋ยวค่ะ ใจเย็นนิดนึงค่ะ พยายามหลีกเลี่ยงการกระทำดังกล่าวก่อนนะคะ ความอดทนของคุณแม่และใช้วิธีแนะนำลูกให้ทำงานนั้นได้สำเร็จ จะเป็นวิธีที่ดีกว่า และได้รับผลตอบแทนต่างกันนะคะ

คำแนะนำในการช่วยให้ลูกๆ สนใจช่วยเหลืองานบ้านคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

อย่าดูถูกความสามารถของนักช่วยงานบ้านตัวน้อยนะคะ ให้ลูกตัวจิ๋วๆ พวกนี้ช่วยเก็บของเล่นที่เขาเล่นเกลื่อนบ้านลง ใส่ในตะกร้าเก็บของเล่น, เอาเสื้อผ้าที่จะซักใส่เครื่องซักผ้า (แม้ว่าจะค่อยๆ ใส่ทีละชิ้น ทีละชิ้น), วางช้อนส้อมบนโต๊ะอาหาร เมื่อถึงเวลาทานข้าวเย็น, วางผ้ารองจานข้าว (ถ้าบ้านคุณใช้), จับคู่ถุงเท้าของคุณพ่อที่ซักสะอาดแล้วให้เข้าคู่ (แล้วคุณแม่เป็น คนพับ) เหล่านี้เป็นงานบ้านที่ลูกวัยสองสามขวบสามารถทำได้ค่ะ เมื่อลูกเริ่มเคยชินกับงานเหล่านี้ คุณแม่ค่อยมอบหมายให้เขา ทำงานที่ยากขึ้นไปอีกนิดได้ค่ะเมื่อลูกอายุมากขึ้นกว่านี้อีกสักหน่อย
พยายามทำให้เป็นเรื่องที่น่าสนุก เด็กๆ มักรู้สึกสนุกสนาน ในการที่ได้รับมอบหมายให้ทำ "งาน" เหมือนที่ผู้ใหญ่ทำ ดังนั้น ควรชักจูงให้ลูกมีความสนใจในการช่วยคุณทำงานบ้าน แสดงออก ให้ลูกรู้ว่าคุณสนุกและพอใจที่ได้ทำงานบ้านร่วมกับลูกๆ และพูดชม เชยในความพยายามของลูก คุณอาจร้องเพลงที่ลูกชอบด้วยกันกับ ลูก, หรือแต่งเพลงขึ้นมาใหม่เกี่ยวกับการพับผ้า, คิดท่าเต้นรำใน การกวาดบ้าน หรือแข่งกันทำเตียงกับลูกว่าใครทำเสร็จก่อนกัน ซื้อไม้กวาดขนาดเล็กสำหรับเด็กๆ, ที่พรวนดินสำหรับเด็กๆ ถุงมือ ในการหยิบจับสิ่งสกปรกขนาดเล็กให้ลูกใส่ นอกจากจะทำให้ลูก สนุกสนานแล้วยังช่วยลดความตึงเครียดในเวลาที่ลูกชอบมาแย่ง อุปกรณ์เหล่านี้จากคุณแม่ รวมทั้งการใช้อุปกรณ์ใหญ่เกินตัว จะทำให้ลูกหกล้มได้
อย่าให้สิ่งตอบแทนลูกในการช่วยงานบ้านเป็นเงินทองนะคะ พยายามสื่อสารให้ลูกได้รับรู้ว่าสมาชิกทุกคนในบ้านต่างก็มีหน้า ที่ที่จะต้องช่วยกันทำงานบ้านเพื่อให้บ้านน่าอยู่ และเพื่ออำนวย ความสะดวกให้ทุกคนในบ้าน ถ้าคุณให้เงินเป็นค่าตอบแทนใน การช่วยงานบ้าน คุณจะต้องถูกลูกบีบบังคับให้จ่ายเงินทุกครั้ง เมื่อลูกช่วยงานบ้านในอนาคตเมื่อแกโตขึ้น เก็บ "เงิน" ของคุณ ไว้จ่ายเป็นรางวัลให้ลูกเมื่อทำงานบ้านที่ยากเป็นพิเศษดีกว่า เช่นช่วยเดินสายไฟในบ้านตามจุดที่ต้องการ, ช่วยทาสีรั้ว, ช่วย ติดวอลล์เปเปอร์, หรือช่วยคุณพ่อซ่อมท่อประปา ฯลฯ
จัดทีมให้ลูก ถ้าคุณมีลูกมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไปที่พอจะช่วยงาน บ้านได้ ควรจับคู่ให้ลูกทำงานบ้านด้วยกัน เด็กๆ จะรู้สึกสนุกหาก ได้ทำงานกันเป็นคู่หรือมีเพื่อนทำงานนั้นด้วยกัน การที่พี่น้อง ได้ทำงานด้วยกัน ช่วยกันคิด ช่วยกันแก้ไขปัญหาจะช่วยให้พี่น้อง รักกันด้วยซ้ำไปค่ะ
งานบ้านที่ให้ลูกทำ ควรเป็นงานที่ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน จัดการทำให้สำเร็จได้โดยง่าย หากมีหลายขั้นตอนลูกจะรู้สึกเบื่อ หน่ายและท้อแท้เสียก่อน จงสังเกตเห็นความพยายามของลูก แม้ว่าผลงานที่ออกมาจะไม่ดีเลิศ เรียบร้อยสมกับที่คุณคิดไว้ จำไว้อย่างนึงนะคะว่า คงต้องใช้ความพยายามอยู่หลายหนทีเดียว กว่าที่ลูกน้อยวัย 5 ขวบของคุณจะเก็บเตียงของเธอได้ดีอย่างนี้ (ดีในสายตาของเธอ แต่อาจยังไม่เนี๊ยบสำหรับคุณ) ให้เวลาลูก หน่อยค่ะ แค่เสนอแนะวิธีและคอยให้กำลังใจแก่ลูกจะดีกว่า ลูกจะได้มีโอกาสเรียนรู้งานนั้น และทำงานนั้นด้วยตัวเอง เก็บ ความอยากช่วยงานลูกไว้ก่อน หากคุณรีบมาจัดการงานนั้นให้เสร็จ คุณนั่นแหละจะเป็นผู้ลดความพยายามในการทำงานของลูกให้น้อยลง
เลือกงานบ้านให้ลูกทำแค่ 1-2 อย่างเท่านั้น และอย่าเปลี่ยนไป เปลี่ยนมา ลูกจะได้ยึดมั่นตั้งใจทำให้สำเร็จ บอกลูกให้ชัดเจนว่า คุณต้องการให้งานเสร็จเมื่อไหร่ หรือลูกควรใช้เวลาเท่าใดในการ ทำงานนี้ และกำหนดวิธีง่ายๆ ไว้ในใจคุณว่าหากลูกทำไม่สำเร็จ ตามเวลาที่กำหนด คุณจะมีคำแนะนำอย่างไร หากคุณจะให้งาน บ้านลูกทำเพิ่มอีกนิหน่อย ควรให้หลังจากที่งานหลักเสร็จไปแล้ว อย่าให้งานลูกมากเกินไป เพราะว่ามีโอกาสเป็นไปได้มากที่ลูกคุณ จะเบื่อหน่ายและล้มเลิกไปเสียก่อน แล้วก็จะเกิดศึกการเอาชนะ กันระหว่างคุณแม่กับคุณลูกอีก

ข้อสำคัญ คุณต้องเลือกให้งานบ้านที่เหมาะสมกับวัยของลูกด้วยนะคะ มีหลักง่ายๆ ตามนี้ค่ะ

สำหรับลูกวัย 2 - 3 ขวบ
เก็บของเล่นชิ้นเล็กๆ ใส่ตะกร้าหรือกล่องใส่ของเล่น

ช่วยหยิบเสื้อผ้าใส่เครื่องซักผ้า (ชนิดที่เปิดฝาด้านหน้า)

วางรองเท้าในที่เก็บรองเท้า

วางช้อนส้อมบนโต๊ะอาหาร

วางแผ่นรองจากข้าว

สำหรับลูกวัย 4 ขวบ
แต่งตัวเอง, ใส่กางเกง, ใส่เสื้อ, ใส่เสื้อยืดได้เอง

เดินไปหยิบหนังสือพิมพ์, จดหมาย, แผ่นปลิวโฆษณา ร้านค้าที่แจกตามบ้านโดยเสียบไว้ที่ประตูรั้ว

วางช้อนส้อม, ผ้าเช็ดปากบนโต๊ะอาหาร

ช่วยแบ่งผ้าที่จะซักใส่ตะกร้าสำหรับซักผ้า, พับผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ


สำหรับลูกวัย 5 ขวบ
รับโทรศัพท์

รินนมสด, น้ำส้มใส่ถ้วยได้

เก็บเตียง พับผ้าห่ม ปูผ้าคลุมเตียง

ใส่ถุงเท้า รองเท้าเอง โดยเป็นรองเท้าที่มีแถบเหนียวๆ ติดได้ง่าย หรือเป็นกระดุมแป๊ะที่ติดง่าย



สำหรับลูกวัย 6 ขวบ
ช่วยคุณแม่ทำแซนด์วิชง่ายๆ

ถือจานข้าวที่กินแล้วไปวางที่อ่างล้างจานหรือเคาน์เตอร์ในครัว

กวาดบ้าน, ปัดฝุ่น

ปูเตียงให้ตึง

ถอดเสื้อผ้าแล้วใส่ในตะกร้าซักผ้า



สำหรับลูกวัย 7 - 9 ขวบ
กวาดใบไม้ที่ลานบ้าน

จัดโต๊ะอาหารและเก็บโต๊ะอาหารหลังทุกคนทานข้าวเสร็จ

ช่วยคุณพ่อล้างรถ



สำหรับลูกวัย 10 - 12 ขวบ
รับโทรศัพท์และจดข้อความที่ฝากไว้

ช่วยทำกับข้าว

ปัดกวาด, ดูดฝุ่น จัดห้องนอนตัวเอง

เปลี่ยนผ้าปูที่นอน

เคล็ดลับเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพดีทั้งกายและใจสำหรับพ่อแม่

1 ป้องกันความรุนแรงด้วยการเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น


การลงโทษลูกด้วยการตบตี หรือทำร้ายลูกทางกายนั้น สอนให้ลูกยอมรับ ว่าการแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรง หรือทำร้ายผู้อื่นนั้นเป็นการยุติปัญหา การลงโทษโดยวิธีการจัดระเบียบวินัย จะได้ผลในระยะยาวมากกว่า ส่วนการใช้คำพูดที่รุนแรงสามารถสร้างบาดแผลในใจให้ลูก ได้เช่นกัน

2 พาลูกไปฉีดวัคซีนตรงตามเวลานัดเสมอ

คุณพ่อคุณแม่ควรมั่นใจว่าลูกได้รับการฉีดวัคซีนครบและตรงตามกำหนด ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้ หมั่นเปิดสมุดคู่มือการฉีดวัคซีน ของลูกและตรวจสอบดูว่าลูกได้รับวัคซีนครบถ้วนตามระยะเวลาที่ระบุไว้ ถ้าไม่แน่ใจควรปรึกษากับกุมารแพทย์เมื่อพาลูกไปพบ

3 ให้ลูกได้อยู่ในสถานที่ปลอดควันบุหรี่เสมอ

การที่ลูกอยู่ในที่อับทึบ เต็มไปด้วยควันบุหรี่ จะทำให้ลูกเป็นโรคหูอักเสบ, ปอดอักเสบ หรือแม้แต่อาจทำให้ลูกเสียชีวิตเฉียบพลันโดย ไม่ทราบสาเหตุได้ (SID) พึงระลึกไว้เสมอว่า ถ้าคุณสูบบุหรี่ ลูกคุณจะ มีแนวโน้มที่จะติดบุหรี่ในอนาคต ฉะนั้น จงทำบ้านให้เป็นสถานที่ปลอด ควันบุหรี่เสียตั้งแต่บัดนี้ กรณีที่คุณพ่อคุณแม่ที่ติดบุหรี่ ควรงดสูบบุหรี่ใน บ้าน และถ้าเป็นไปได้ ควรเลิกสูบบุหรี่โดยเด็ดขาดจะเป็นการดีต่อ สุขภาพของทุกคนในบ้านและตัวคุณเอง

4 อ่านหนังสือให้ลูกฟังทุกวัน

คุณสามารถเริ่มอ่านหนังสือให้ลูกฟังได้ตั้งแต่ลูกอายุ 6 เดือน เพราะการอ่านหนังสือให้เด็กๆ ฟังนั้น จะเป็นการส่งเสริมให้เด็กทราบถึงความสำคัญของการพูดจาสื่อสารกัน และกระตุ้น ให้เด็กเป็นนักอ่านต่อไปในอนาคต อีกทั้งยังเป็นการเตรียมเนื้อหาหรือ "วัตถุดิบ" ให้ลูก ในการหาเรื่องมาพูดคุย ถกเถียงกันระหว่างคุณพ่อคุณแม่และลูกๆ ทำให้เรามีโอกาส ทราบถึงความคิดและสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของลูกด้วย

5 ให้ความสำคัญของความปลอดภัยขณะขับขี่หรือโดยสารรถยนต์

คุณพ่อคุณแม่ควรปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกๆ ขณะขับรถยนต์ด้วยการคาดเข็มขัด นิรภัยทุกครั้ง และตรวจตราดูว่าทุกคนที่นั่งในรถคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย ถ้าอายุและ น้ำหนักยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะคาดเข็มขัดนิรภัย ควรจัดการให้ลูกได้นั่งเบาะเด็กนิรภัย ทดแทนตามแบบที่เหมาะสมกับอายุและน้ำหนักของลูกในแต่ละวัยเพื่อความปลอดภัย ขณะเดินทาง นอกจากนั้น จัดหาหมวกนิรภัยให้ลูกสวมใส่ทุกครั้งเมื่อลูกขับขี่จักรยาน, เล่นสเก็ตล้อลื่น, สเก็ตบอร์ด,

โรลเลอร์สเก็ต หรือสกูตเตอร์ ฯ เพื่อป้องกันศีรษะกระแทก พื้นเมื่อลูกล้ม

เมื่อหนูน้อยมีเพื่อนต่างมิติ

ก็บมาฝากวันนี้ เป็นเรื่องของพฤติกรรมหนูน้อยบางคนที่อาจมีเพื่อนในจินตนาการที่สร้างขึ้นมาเอง บางคนอาจเคยมีเพื่อนในฝัน เพื่อนในจินตนาการ เพื่อนในใจ เพื่อนในความคิด แล้วแต่จะเรียกกัน เมื่อตอนเป็นเด็กๆ มาบ้างแล้วใช่มั้ยคะ จำได้มั้ยเอ่ย....




เพื่อนในจินตนาการนี้สามารถทำให้เด็กๆ ได้แสดงความรู้สึก และปลดปล่อยอารมณ์ที่ขุ่นเคืองออกมาได้ ซึ่งบางครั้งเป็นอารมณ์คับข้องใจที่หนูๆ ไม่อยากอธิบาย หรือไม่รู้ว่าจะพูดบอกกล่าวกับคุณพ่อคุณแม่ว่าอย่างไร อารมณ์ขุ่นเคืองใจอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น โดนเพื่อนๆ ล้อ, คุณพ่อคุณแม่หย่าร้างกัน, หรือ ถูกคุณครูตำหนิต่อหน้าเพื่อน



บางครั้งผู้ใหญ่เราก็คิดว่า การที่เด็กๆ สร้างเพื่อนในจินตนาการขึ้นมานั้น เป็นสัญลักษณ์ว่า ลูกเราปรับตัวไม่เก่ง, เข้าสังคมไม่ได้ หรือคิดมาก แต่ปรากฏว่า จากการศึกษาเด็กที่มีเพื่อนในจินตนาการนั้น มหาวิทยาลัยเยล ในสหรัฐฯ พบว่า เด็กเหล่านี้มักให้ความร่วมมือกับเพื่อนๆ ด้วยดี, มีทักษะทางภาษาค่อนข้างดี และเป็นเด็กไม่น่าเบื่อที่จะสนทนาด้วย



นั่นแน่..หนูๆ เหล่านี้ คงได้พูดคุยกับเพื่อนในจินตนาการบ่อยล่ะสิ จึงได้ฝึกภาษาพูดไปในตัว... ลองสังเกตลูกๆ กันบ้างนะคะ ว่า ลูกเรามีเพื่อนในจินตนาการกับเค้ารึเปล่า....



อย่างไรก็ตาม พยายามแสดงให้ลูกๆ เห็นอยู่เสมอนะคะว่า คุณพ่อคุณแม่เป็นเพื่อนในชีวิตจริงของลูกๆ นะจ๊ะ มีปัญหาอะไร ปรึกษาพ่อกับแม่ได้ตลอดเวลานะลูกนะ....(แต่อย่าเผลอดุลูกซะก่อนที่ลูกเล่าจบนะคะ ไม่งั้นหนูๆ จะคิดว่าปรึกษาพ่อแม่ทีไร..โดนดุทุ๊กที...เฮ้อ...)

อาการไข้โดยมากมักจะบ่งถึงความเจ็บป่วยหรือการติดเชื้อในร่างกาย เป็นกระบวนการต่อสู้ ธรรมชาติ เกิดการหลั่งสารก่อไข้ (PRYOGENS) ขึ้น อุณหภูมิของร่างกายจึง สูงกว่าปกติ ไข้จึงเป็นเพียงปลายเหตุเท่านั้น เมื่อต้นเหตุคือความเจ็บป่วย หรือการติดเชื้อนั้นทุเลาลง อาการไข้ก็ จะลดลง และหายไปในที่สุด

1 การทำความสะอาดช่องปากและฟัน


- ช่วงทารก ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเช็ดเหงือก กระพุ้งแก้ม และเพดานปาก

- ช่วงฟันขึ้นหลายซี่ ให้เริ่มคุ้นเคยกับแปรงสีฟันเด็ก

- เริ่มใช้ยาสีฟันเด็ก เมื่อเด็กบ้วนน้ำเป็น โดยใช้ยาสีฟัน ขนาด < 5 มม.

- หลังอายุ 6-8 ปี จึงอนุญาตให้เด็กแปรงฟันเอง



2 พฤติกรรมการดื่มนม และกินอาหาร

- ป้องกันการติดขวดนม ด้วยการเริ่มให้อาหารเสริมตามวัย (4-5 เดือน)

- หลีกเลี่ยงการให้ดูดนมจนหลับไป หรือให้น้ำตามหลังดูดนมเพื่อล้างคราบนม

- ฝึกให้เด็กกินนมจากแก้วเมื่ออายุ 1 ปี

- หลีกเลี่ยงของหวาน ถ้าจำเป็นควรให้หลังอาหาร

อาการไข้ในเด็ก

อาการไข้โดยมากมักจะบ่งถึงความเจ็บป่วยหรือการติดเชื้อในร่างกาย เป็นกระบวนการต่อสู้ ธรรมชาติ เกิดการหลั่งสารก่อไข้ (PRYOGENS) ขึ้น อุณหภูมิของร่างกายจึง สูงกว่าปกติ ไข้จึงเป็นเพียงปลายเหตุเท่านั้น เมื่อต้นเหตุคือความเจ็บป่วย หรือการติดเชื้อนั้นทุเลาลง อาการไข้ก็ จะลดลง และหายไปในที่สุด




เมื่อไรถึงจะเรียกว่ามีไข้ ?

ไข้ คือ การที่อุณหภูมิของร่างกายสูงกว่าปกติ ในแต่ละช่วงของวัน อุณหภูมิของคนเราไม่คงที่ ตลอด โดยในตอนเย็นอุณหภูมิจะสูงกว่าตอนเช้าเล็กน้อย การวัดอุณหภูมิจะสูงกว่าตอนเช้าเล็ก น้อย การวัดอุณหภูมิที่ถือว่าอยู่ในระดับที่มีไข้นั้น เมื่อวัดในตำแหน่งต่างๆ จะได้ดังนี้



-อุณหภูมิเกินกว่า 38 องศาเซลเซียส ( 100.4 F ) เมื่อวัดทางทวารหนัก

- อุณหภูมิเกินกว่า 37 .8 องศาเซลเซียส ( 100 F ) เมื่อวัดทางปากหรือในหู

- อุณหภูมิ เกินกว่า 37.2 องศาเซลเซียส ( 99 F ) เมื่อวัดทางรักแร้



เครื่องมือที่ใช้วัดอุณหภูมิอาจใช้แท่งปรอทวัดไข้ ที่หาซื้อได้ทั่วไป หรือเครื่องมือวัดแบบก็ได้ การ ใช้แผ่นวัดโดยการทาบที่หน้าผาก หรือการใช้ความรู้สึกจากมือสัมผัส อาจจะบอกได้เมื่อมีไข้สูง เท่านั้น แต่ในกรณีที่มีไข้เล็กน้อยจะคลาดเคลื่อนได้



ข้อควรปฏิบัติเมื่อมีไข้



1. อย่าใส่เสื้อผ้าที่หนา ไม่ควรห่อหรือห่มผ้ามาก เพราะความร้อนจะไม่สามารถระบายออกได้ และไข้จะยิ่งสูงขึ้นอีก



2. ดื่มน้ำมากๆ เพราะเมื่อมีไข้ ร่างกายจะขาดนำมากกว่าปกติ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่จะ กระตุ้นการขับปัสสาวะ เช่น เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน ได้แก่ กาแฟ น้ำอัดลมบางชนิด



3. เมื่อเด็กมีไข้ จะรู้สึกเบื่ออาหาร การบังคับให้ทานมากขึ้นมักไม่ค่อยได้ผล เด็กจะรู้สึกอยาก อาหาร ทานได้มากขึ้นเอง เมื่อความเจ็บป่วยทุเลาลง และร่างกายรู้สึกดีขึ้น



4. พักผ่อนนอนหลับเพียงพอ



5. ควรเช็ดด้วยน้ำอุ่น อย่าใช้น้ำเย็นๆเช็ด เพราะจะทำให้เด็กหนาวสั่นได้ ควรเช็ดตัวโดยเน้น บริเวณที่เป็นข้อพับต่างๆ เช่น ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ไข้ลดลงได้เร็วขึ้น



ควรพบแพทย์เมื่อใด ?

โดยทั่วไปเมื่อเด็กไม่สบาย มีไข้เล็กน้อย หรือมีความเจ็บป่วยไม่มาก ไข้นั้นก็อาจจะหายไปได้ ในเวลาไม่กี่วัน แต่ถ้าสิ่งต่างๆเหล่านี้ร่วมด้วย ควรนำเด็กไปพบแพทย์ทันที



1. เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 3 เดือน

2. ไม่ยอมทานนม น้ำ หรือเบื่ออาหารมาก จนร่างกายอ่อนเพลีย

3. มีอาการเกร็งชักร่วมด้วย

4. มีอาการอาเจียน หรือท้องเสียหลายครั้ง

5. ร้องกวนงอแง หรือนอนซึมผิดปกติ เช่น หายใจหอบเหนื่อย หายใจมีเสียงดัง

6. มีอาการไอ หายใจผิดปกติ หรือมีอาการเพ้อ

7. มีอาการหนาวสั่นร่วมกับมีไข้

8. อาการไม่หายภายใน 3 วัน หรือ ไข้ลดลงแล้ว แต่เด็กยังดูไม่สบายอยู่



อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากสิ่งต่างๆ ดังกล่าว ถ้าหากไม่แน่นใจก็ควรนำเด็กไปพบ แพทย์ ไม่ควรให้ทานยาลดไข้เองอย่างพร่ำเพรื่อ

สอนลูกรัก ให้รู้จักชื่อตัวเอง

ขอแนะนำกิจกรรมสำหรับคุณพ่อคุณแม่เพื่อสอนลูกให้รู้จักชื่อเล่นของตัวเอง ทั้งนี้ การสอน ลูกให้รู้จักชื่อตัวเองนั้น เป็นการแนะนำลูกให้รู้จักตัวหนังสือ หรือพยัญชนะ ต่อไปในอนาคต เมื่อลูกไปเห็นหนังสือที่สนใจ สามารถทำให้ลูกอยากจะอ่านหรือหัดสะกดคำขึ้นมาบ้างก็ได้

อุปกรณ์ที่ต้องการ

- กระดาษ 1 แผ่น

- ดินสอ, ดินสอเทียน หรือ ปากกาเมจิคก็ได้

ต้องทำอย่างไรบ้าง?
1 ขั้นแรก เขียนชื่อเล่นของลูกลงบนกระดาษที่หามาให้ชัดๆ ตัวโตๆ
2 สะกดตัวพยัญชนะชื่อของลูกให้ลูกฟัง เช่น "แ…น…น" (เริ่มจากชื่อเล่นก่อน จะได้ง่ายต่อการสะกด) ถ้าคล่องแล้ว ค่อยเปลี่ยนไปเขียน และสะกดชื่อจริงของลูก) หรือจะเขียนไปสะกดไปพร้อมกันก็ได้
3 เมื่อสะกดเสร็จ ให้บออกกับลูกว่า "นี่ไงจ๊ะ ชื่อของหนู"
4 ทีนี้ให้ลูกลองวาดรูป รูปอะไรก็ได้ที่ลูกอยากวาด (ส่วนมากจะเป็น รูปพระอาทิตย์, รูปบ้าน, หรือรูปคน ถ้าลูกวาดไม่ค่อยได้ ก็ให้วาดวงกลม, สี่เหลี่ยม หรือเขียนเส้นยึกยัก อะไรก็ได้)
5 เมื่อลูกวาดเสร็จเรียบร้อย คุณแม่ทำเสียงน่าตื่นเต้นว่า "อ๊ะ แม่นึกอะไรออกแล้ว" (เพื่อเป็นการเรียกร้องความสนใจจากลูกตัวน้อย) "เอางี้ดีกว่า เรามาเขียนชื่อลูกใส่ลงไป ในรูปที่ลูกวาดเอามั้ยจ๊ะ" ทีนี้คุณแม่ก็เขียนชื่อลูกตัวโตๆ ลงไปบนรูปที่ลูกวาด ระหว่าง เขียนไปก็ค่อยๆ สะกดชื่อลูกไปทีละตัวอีกครั้ง พูดดังๆ ให้ลูกจำได้
6 ถ้าคุณแม่มีสติกเกอร์ตัวอักษรพยัญชนะ ก็ให้ลูกติดสติกเกอร์เป็นชื่อลูกในสถานที่ ที่คุณแม่อนุญาต และเห็นได้บ่อยๆ แล้วสะกดให้ลูกฟัง ให้ลูกพูดตาม อาจจะเป็น ตู้เสื้อผ้าของลูก, โต๊ะเขียนหนังสือของลูก, พนักเก้าอี้ลูก ฯ
7 ใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์ชื่อลูกใส่กระดาษ แล้วไว้แปะไว้หน้าห้องลูก, หรือหลังพนัก เก้าอี้ที่ลูกนั่งเล่นบ่อยๆ
ไอเดียเล็กน้อยสำหรับพ่อแม่เพื่อสอนลูกให้รู้จักชื่อตัวเอง
1 ถ้าคุณแม่ใช้แม่เหล็กติดตู้เย็นที่เป็นตัวอักษรชื่อของลูก ควรหาที่มีขนาดใหญ่สักนิด เพื่อกันไม่ให้ลูกเอาไปกลืน หรือหยิบเข้าปากอมเล่น เมื่อคุณแม่เปิดตู้เย็นหยิบขนม, น้ำให้ลูกทาน ก็ลองถามลูกว่า "เอ๊ะ นี่ชื่อใครเอ่ย…, สะกดว่าอย่างไรจ๊ะ… หรือ ไหน - อันไหน คือชื่อของลูกจ๊ะ"
2 ถ้าเป็นไปได้ ให้ปักชื่อลูกลงบนผ้าเช็ดตัว, หรือติดสติกเกอร์ชื่อลูกบนอุปกรณ์เครื่องเขียน ต่างๆ เช่น ดินสอ, ที่เหลาดินสอ, กล่องใส่ดินสอ, ดินสอสี หรือเครื่องใช้ในบ้านต่างๆ เท่าที่จะ เป็นไปได้ เพราะถ้าลูกกเห็นชื่อตัวเองบ่อยๆ ก็จะจำชื่อตัวเองได้โดยอัตโนมัติ ถ้ามีลูกมากกว่า 1 คนขึ้นไป ก็อาจติดชื่อลูกแต่ละคนลงบนเครื่องใช้ อุปกรณ์เครื่องเขียนของแต่ละคนก็ได้ แล้วลองเล่นเกม ให้ลูกหยิบของใช้ตามชื่อของตน "ไหนดินสอของน้องแนนคะ" เมื่อลูกหยิบ ถูกก็ชมเชยว่า "หนูเก่งจัง" ลูกก็จะเกิดความรู้สึกภูมิใจที่หยิบของใช้ถูก
3 เมื่อลูกเริ่มเรียนตัวพยัญชนะ ก, ข, ค ที่โรงเรียน ก็ลองถามลูกจากแผ่นพยัญชนะว่า "ไหน ชื่อของหนูมีตัวพยัญชนะอะไรบ้างคะ"
**ข้อน่าคิด: บางรายอาจให้ความเห็นว่า คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรติดชื่อลูกบนกระเป๋าเรียน หรือเป้ที่ลูกถือไปไหนต่อไหน เพราะอาจทำให้คนแปลกหน้าที่ไม่ประสงค์ดี เข้ามา ตีสนิทกับเด็ก โดยเรียกชื่อเด็กจากสติกเกอร์ชื่อที่ติดอยู่ที่กระเป๋า ทำให้เด็กคิดว่าเป็น คนรู้จัก เพราะเรียกชื่อเด็กถูก ลองนำไปพิจารณา และประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมนะคะ**

เลือกของเล่นอย่างไรให้ปลอดภัยสำหรับลูกรัก

ของเล่นสำหรับเด็กทุกวันนี้มาในรูปแบบที่หลากหลายมาก บางครั้งเยอะแยะเสียจนคุณพ่อ คุณแม่แทบจะเลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว ของเล่นที่ดีมีส่วนช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้คุณ หนูๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ส่งเสริมให้เด็กมีจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และยังช่วย ให้ตาและมือของลูกทำงานประสานกันได้ดีอีกด้วย

โรงงานผู้ผลิตของเล่นหลายแห่งได้พยายามคิดค้นประดิษฐ์ของเล่นที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน โดยผลิตของเล่นที่นอกจากให้ความสนุกสนานแล้วยังคำนึงถึงความปลอดภัยของหนูน้อยอีกด้วย แต่บางโรงงานก็มิได้คำนึงถึงคุณภาพและความปลอดภัยของเด็กมากนัก ดังนั้น จึงเป็น หน้าที่และงานที่ท้าทายความสามารถของคุณพ่อคุณแม่ที่จะต้องพิจารณาและเลือกหา แต่ของเล่นที่มีประโยชน์ มีคุณภาพ และมีความปลอดภัยสำหรับลูกรัก
คุณล่ะคะ มีเทคนิคอย่างไรในการพิจารณาเลือกของเล่นให้ลูกน้อย?
สิ่งที่คุณควรคำนึงถึง เมื่อเลือกซื้อของเล่นให้ลูก

มีดังต่อไปนี้
1) หลีกเลี่ยงของเล่นที่มีลักษณะของการเหนี่ยวไกและยิงออกไปยังเป้าหมาย รวมทั้งของเล่น บางอย่างที่มีชิ้นส่วนซึ่งสามารถบิน, หรือกระเด็นออกไปยังเป้าหมายได้ เช่น ปืนมีลูกกระสุน พลาสติคเล็กๆ, ธนูและลูกธนู, ลูกดอกฯ ซึ่งเป็นอันตราย เพราะเป็นการเชิญชวนให้เด็กผู้เล่น มองหาเป้าหมาย ซึ่งมักจะเป็นเด็กๆ ด้วยกัน แล้วยิงใส่เป้าหมาย
2) ของเล่นที่มีเสียง ควรตรวจตราเช็คระดับความดังของเสียง ว่าดังเกินไปสำหรับหูของ เด็กหรือเปล่า
3) ของเล่นสำหรับเด็ก ไม่ควรมีเหลี่ยม มุม ที่แหลมคม ซึ่งอาจบาดหรือตำมือของเด็กได้
4) หลีกเลี่ยงที่จะซื้อของเล่นที่มีชิ้นส่วนเล็กๆ ให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบ ทั้งนี้เพราะเด็ก อายุต่ำกว่า 3 ขวบมักชอบหยิบของใส่ปากเล่น อาจทำให้ชิ้นส่วนเล็กๆ เหล่านี้เข้าไปติดคอ สำลัก อุดกั้นทางเดินหายใจ หายใจไม่ออกและเสียชีวิตในที่สุดได้
5) เมื่อซื้อของเล่นให้ลูกแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรอ่านเอกสารกำกับของเล่นที่ติดมาในกล่อง อย่างละเอียดทุกครั้ง ว่าเก็บรักษาอย่างไร มีข้อห้ามประการใดบ้าง รวมทั้งเหมาะสมกับ ความสามารถและอายุของเด็กในวัยใด ทั้งนี้เพราะของเล่นไม่ได้ผลิตมาเพื่อให้เหมาะสม กับความสามารถและอายุของเด็กอย่างเดียว แต่เพื่อความปลอดภัยของเด็กในวัยนั้นๆ ด้วย
6) หากเป็นของเล่นที่ผลิตหรือซื้อหามาจากต่างประเทศ ควรศึกษาและมองหา สัญลักษณ์ที่แสดงความปลอดภัย ได้มาตรฐานของหน่วยงานในแต่ละประเทศ เช่น ASTM (American Society for Testing and Materials) แสดงว่าของเล่นชิ้นนั้นมีความปลอดภัยได้มาตรฐานแห่งชาติ ของหน่วยงาน ทดสอบความปลอดภัยของเล่นแห่งสหรัฐอเมริกา
ส่วนของเล่นที่วางขายในยุโรป ควรมองหาสัญลักษณ์ CE ถ้าฝากเพื่อนซื้อในอังกฤษ ให้มองหาสัญลักษณ์ BSI (British Standards Institution) สำหรับของเล่น ที่ซื้อมาจากญี่ปุ่นควรมีสัญลักษณ์ ST (Safe Toys) ซึ่งควบคุมโดย the Japan Toy Association (JTA) มาถึงฮ่องกงใกล้บ้านเราเข้ามาหน่อย ฮ่องกงเอง มีหน่วยงานสองแห่งที่เป็นบริษัททดสอบของเล่นว่าได้มาตรฐานตามเกณฑ์ที่กำหนด หรือไม่ นั่นคือ Hong Kong Standards และ บริษัท Testing Centre จำกัด
และท้ายสุด ขาดเสียไม่ได้ นั่นคือของเล่นที่ผลิตจากประเทศจีน ก็ยังมี หน่วยงาน ที่ชื่อว่า Chinese Manufacturers' Association Testing and Certification Laboratories เป็นผู้ตรวจสอบเกณฑ์มาตรฐานของเล่น ทั้งนี้ ของเล่นจากจีนและฮ่องกง หากผ่านการตรวจสอบโดยหน่วยงานดังกล่าว ถ้าเข้ามาขายในญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็ยังตีตรา ST ให้ด้วยบนกล่องของเล่น เพื่อแสดงความปลอดภัยและมีมาตรฐาน
สำหรับในประเทศไทย คือ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (Thai Industrial Standards Institute) หรือชื่อย่อๆ ว่า มอก. โดยมีผลิตภัณฑ์ที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนด ให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ที่เกี่ยวกับของเล่น มีผลบังคับใช้เมื่อ 5 มค. 2542 มีการ กำหนดกฎเกณฑ์มาตรฐานดังมีรายละเอียดในเอกสารต่อไปนี้

1 มอก. 685 เล่ม 1-2540 ของเล่น เล่ม 1 ข้อกำหนดทั่วไป
วันที่มีผลใชับังคับ 5 ม.ค. 2542
2 มอก. 685 เล่ม 2-2540 ของเล่น เล่ม 2 ภาชนะบรรจุและฉลาก
วันที่มีผลใชับังคับ 5 ม.ค. 2542
3 มอก. 685 เล่ม 3-2540 ของเล่น เล่ม 3 วิธีทดสอบและวิเคราะห์
วันที่มีผลใชับังคับ 5 ม.ค. 2542
ซึ่งคงต้องไปหาอ่านกันเองนะคะ (รายละเอียด กรุณาติดต่อกับ มอก. Tel: 02-202-3300 - 04 Fax: 02-202-3415 email: thaistan@tisi.go.th)
ฉะนั้น จะซื้อของเล่นให้ลูกในประเทศไทย มองหาสัญลักษณ์ มอก. ไว้เป็นดีที่สุด
7) ก่อนเสียเงินซื้อของเล่นแต่ละชิ้น พยายามคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกขณะซื้อมากที่สุด ถึงแม้ว่าคุณจะซื้อของเล่นให้เด็กคนอื่นเพื่อเป็นของขวัญวันเกิด หรือรางวัลต่างๆ ก็เช่นกัน เมื่อซื้อแล้ว นำของเล่นมาให้ลูกเล่น คุณควรอธิบายให้ลูกฟังด้วยถึง วิธีการเล่นที่ถูกต้อง อย่าให้เด็กเดา หรือเล่นของเล่นแผลงๆ อาจเป็นอันตรายได้
8) เมื่อของเล่นเสีย, บุบ หรือมีชิ้นส่วนหัก งอ หรือไม่อยู่ในสภาพเดิม ควรจัดการซ่อมแซม ให้เรียบร้อย ถ้าไม่อาจซ่อมได้ และดูแล้วอาจมีชิ้นส่วนที่สามารถทำอันตรายแก่ลูกได้ ควร นำไปเก็บให้พ้นมือ ไม่ให้ลูกนำมาเล่นอีก
9) เก็บของเล่นสำหรับเด็กโตให้พ้นมือเด็กเล็ก เพราะของเล่นเด็กโต อาจเป็นอันตรายต่อเด็ก เล็กได้ หากนำมาเล่นผิดวิธี
10) เมื่อลูกโตแล้ว พ้นวัยที่จะเล่นของเล่นชนิดนั้นแล้ว ควรเก็บให้เรียบร้อย หรือบริจาคให้ผู้อื่น ที่มีลูกอยู่ในวัยที่เหมาะสมกับของเล่นชนิดนี้
ของเล่นที่ไม่เหมาะสมกับวัยของลูก นอกจากจะเกิดอันตรายที่ไม่คาดคิดแล้ว เด็กที่เล่นของเล่น แบบแผลงๆ หรือผิดวัตถุประสงค์ของวิธีการเล่นของเล่นยังอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ด้วย ฉะนั้น ควรให้ลูกนั่งเล่นของเล่นในที่เปิดเผย อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ บางครั้งอาจเขียน กฎเกณฑ์เล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาถึงระเบียบและวิธีการเล่นของเล่น แล้วให้ลูกดู อธิบายให้ลูกฟัง (ถึงแม้ลูกจะอ่านไม่ออก แต่ลูกก็ได้ยิน และดีกว่าไม่เคยได้ยิน หรือไม่ทราบกฎเกณฑ์การเล่น ของเล่นมาก่อนเลย) ถ้าลูกเล่นของเล่นกับเพื่อน ลูกจะได้นำสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สอนไปแนะนำ วิธีและกฎเกณฑ์การเล่นของเล่นที่ถูกต้องให้แก่เพื่อนๆ ด้วย
ที่สำคัญ เมื่อเล่นแล้ว อย่าลืมเตือนลูก และฝึกนิสัยให้ลูกเก็บของเล่นให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะถึงแม้ว่า คุณพ่อคุณแม่ซื้อของเล่นที่ปลอดภัย ได้มาตรฐานให้ลูกเล่นแล้ว แต่ถ้าวาง เกะกะขวางทาง คุณแม่อาจเหยียบลื่นหกล้มได้นะคะ!

ดอกไม้ไฟ อันตรายใกล้ตัว

ใกล้ถึงเทศกาลที่ผู้คนมักจะเล่นดอกไม้ไฟเข้ามาแล้วนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลวันลอยกระทง หรือเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ คงจะได้เห็น ดอกไม้ไฟและการจุดพลุกันบ่อยล่ะค่ะ

อันที่จริง เวลาได้ยินเสียงพลุ ยังอดไม่ได้ที่จะวิ่งออกมายืนดูที่ระเบียงบ้านชั้นบนกับลูกๆ เลยค่ะ สวยดีนะคะ ยิ่งตอนใกล้จบสวยมากๆ สีสันงามตระการตา หลากหลายรูปแบบ แต่ในความสวยงาม ก็มีอันตรายแฝงมาด้วยนะคะ หากเราอยู่ใกล้ๆ สถานที่จุดพลุ หรือ ใกล้คนที่กำลังจุดดอกไม้ไฟ และเล่นประทัดกัน.....
มาดูกันดีกว่าว่า ทำอย่างไร เราจึงจะปลอดภัย เมื่อถึงเทศกาลจุดดอกไม้ไฟเหล่านี้
ตามสถิติแล้วนะคะ เด็กๆ ที่ได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุดอกไม้ไฟ หรือประทัด แบ่งอาการบาดเจ็บออกเป็น 3 กลุ่ม นั่นคือ กลุ่มแรก มักได้แก่อาการบาดเจ็บผิวหนังไหม้ ไม่ว่าจะเกิดจากเศษไฟกระเด็น หรือการเล่นไม้ขีดไฟโดยเด็กเล็ก กลุ่มที่สอง คือ อุบัติเหตุดอกไม้ไฟระเบิดมักจะเกิดขึ้นที่มือ รวมทั้งนิ้วฉีก นิ้วหลุด และอาการบาดเจ็บที่นัยน์ตา สำหรับกลุ่มที่สาม ซึ่งบางครั้งผู้ใหญ่มักจะลืมนึกไป นั่นคือ อาการบาดเจ็บที่หู ซึ่งหากอยู่ใกล้สถานที่จุดดอกไม้ไฟ ประทัด หรือพลุ เมื่อจุดแล้วเกิดเสียงดังมาก เด็กๆ ที่อยู่ใกล้อาจเกิดอาการหูอื้อ ตึง ชาหรือหนวกไปชั่วคราว
ทีนี้ ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว ทำไม เราผู้ใหญ่ทั้งหลาย จึงยังปล่อยให้เด็กๆ ยืนดูดอกไม้ไฟ การจุดพลุ หรือการเล่นประทัดกันอยู่อีก...
เพราะว่า ดอกไม้ไฟ, พลุ พวกนี้มีสีสันสดใส สวยงาม สว่างไสว น่าตื่นตาตื่นใจ ไม่ได้หาดูได้ง่ายๆ ทุกวันนี่คะ....ทุกคนไม่ว่าใครๆ ต่างก็ชอบดูดอกไม้ไฟ, ดูพลุกันทั้งนั้น จริงมั้ยคะ? เราอยากเห็นลูกมีความสุขที่ได้ดู ได้ยินเสียงลูกร้องอย่างน่าตื่นเต้นว่า "อู้ฮู้...สวยจังเลย" "มาอีกแล้ว มาอีกแล้ว..ลูกนี้ใหญ่กว่าเมื่อกี้อีก..." ฯ
การดูการแสดงดอกไม้ไฟ หรือดูพลุที่จุดโดยมืออาชีพนั้น เป็นคนละเรื่องเลย หากคุณคิดว่าจะมาจุดเล่นเองที่บ้าน ทั้งนี้การจุดดอกไม้ไฟ หรือประทัดเล่นเองที่บ้าน ไม่ควรทำอย่างยิ่ง และคิดว่า นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เด็กๆ ปลอดภัยจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นโดยดอกไม้ไฟและประทัด
คุณหมอเด็กเคยเล่าให้ฟังว่า ผู้ปกครองมักไม่ค่อยตระหนักถึงความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุโดยดอกไม้ไฟ หรือประทัด เพราะคิดว่า ดอกไม้ไฟที่มีคุณภาพจะปลอดภัยสำหรับเด็ก หรือบางทีคุณพ่อคุณแม่เองก็ทราบดีว่า มันอาจเกิดอันตรายได้ แต่ว่าพอหันหลังแค่เพียงนาทีเดียว ประโยคที่คุณหมอเด็กได้ยินบ่อยที่สุดจากคุณพ่อคุณแม่ก็ตามมา นั่นคือ ....ไม่คิดเลยว่าจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ แค่หันหลังไปหยิบของแป๊บเดียวเท่านั้นเอง...ลูกก็เป็นอย่างนี้แล้ว..."
เอาล่ะค่ะ...วิธีที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ นั่นคือ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรจุดประทัดและดอกไม้ไฟเล่นที่บ้าน เพราะไม่มีวิธีไหนเลยที่จะทำให้การจุดประทัดและดอกไม้ไฟเป็นไปอย่างปลอดภัย
แต่ถ้าคุณผู้ปกครองยังอดไม่ได้ที่อยากจุดดอกไม้ไฟ, ประทัด เล่นที่บ้านเพื่อฉลองเทศกาลล่ะก้อ...มีคำแนะนำที่พอเป็นประโยชน์บ้างมาฝากนะคะ.....

ต้องไม่อนุญาตให้เด็กๆ เล่นดอกไม้ไฟ หรือจุดดอกไม้ไฟ ไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น

ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้จุดดอกไม้ไฟ ควรอ่านและศึกษาคำแนะนำ, วิธีจุดและข้อห้ามในการจุดดอกไม้ไฟอย่างละเอียด
ก่อนเริ่มจุดดอกไม้ไฟ ควรกันให้ผู้ไม่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ออกห่างบริเวณที่จะจุดดอกไม้ไฟให้เรียบร้อยเสียก่อน
จุดดอกไม้ไฟอย่างระมัดระวัง และหันออกห่างจากบ้านเรือน รวมทั้ง บริเวณที่มีใบไม้แห้ง, เศษกระดาษ และวัสดุที่ติดไฟง่าย
หากจุดดอกไม้ไฟติดครึ่งๆ กลางๆ คือติดไฟแล้วดับไปอีก ชนวนยังไม่ลุกไหม้เรียบร้อย อย่าพยายามจุดอีกครั้ง เพราะเราไม่แน่ใจว่าหากจุดอีกครั้งจะระเบิดทันทีเลยหรือไม่ ควรทิ้งดอกไม้ไฟ และต้องแน่ใจว่าไฟดับสนิทดีแล้ว
หาถังน้ำ หรือสายฉีดน้ำมาวางไว้ใกล้ๆ บริเวณที่จุดดอกไม้ไฟ เพื่อสะดวกในการหยิบมาใช้งานหากดอกไม้ไฟเกิดการขัดข้อง และเกิดเหตุไฟไหม้
อ้อ ขอแถมอีกข้อค่ะเพิ่งนึกขึ้นได้ งานเลี้ยงฉลองที่บ้านหากมีผู้ใหญ่ร่วมด้วยมักมีการดื่มเหล้ากัน...ฉะนั้น ต้องห้ามโดยเด็ดขาด! -- อย่าให้ผู้ที่ดื่มเหล้าเมาเป็นคนจุดดอกไม้ไฟนะคะ อาจพลั้งพลาดเป็นอันตรายได้ง่ายอย่างยิ่งทั้งต่อตัวเองและคนอื่น

เอาล่ะค่ะ
ขอให้ลูกหลานและผู้ปกครองทุกท่านปลอดภัย

ในช่วงเทศกาลงานฉลองที่มีการจุดดอกไม้ไฟนะคะ

เปิดเคล็ดลับพิชิตปัญหายอดฮิต

เมื่อลูกเบื่อผักรักขนมหวาน

อาหารเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างร่างกายและสมองของลูก แต่ปรากฏว่าเด็กไทยยุคใหม่มีภาวะโภชนาการที่น่าเป็นห่วง และมีพฤติกรรมการกินที่เป็นปัญหา เช่น เบื่ออาหาร ไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมกินผัก และในอีกกลุ่มหนึ่งมีภาวะของโรคอ้วนมากขึ้น

ปัญหาการเบื่อข้าวของเด็ก
ผศ.ดร.พญ.นลินี จงวิริยะพันธุ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี หนึ่งในคณะกรรมการโครงการรณรงค์ "10 เรื่องเลี้ยงลูกยอดฮิตพิชิตได้" ของสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงปัญหาเรื่องการกินของเด็กว่าเป็น 1 ใน 10 ปัญหาที่สำคัญที่พ่อแม่ยุคใหม่เผชิญในการเลี้ยงดูลูกว่า การเบื่อข้าวของเด็กนั้น จริงๆ แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นด้วยพัฒนาการปกติตามวัยของเด็ก ซึ่งห่วงเล่น อยากรู้อยากเห็น อยากทำอะไรต่ออะไรด้วยตัวเอง และกินอาหารในปริมาณที่ไม่มาก น้ำหนักจึงขึ้นช้าเมื่อเทียบกับขวบปีแรก

นอกจากนั้นปัญหายังมาจากวิธีการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม เช่น

ไม่ได้ฝึกลูกกินอาหารที่หยาบขึ้นเมื่อถึงวัยที่เหมาะสม

บังคับให้กิน ทำให้เกิดการต่อต้าน

ยอมให้ลูกดูทีวีไป กินไป ทำให้ลูกไม่สนใจอาหาร

คอยตามป้อนไปเรื่อย

ให้อาหารไม่เป็นเวลา

อาหารซ้ำซากน่าเบื่อ

หรือบางครั้งที่ลูกไม่กินข้าว เพราะว่าลูกไม่สบาย เช่น เจ็บเหงือก ปวดฟัน

ข้อแนะนำหากลูกเบื่ออาหาร
ดังนั้น ครั้งต่อไป หากพบว่าลูกเบื่ออาหาร หรือต้องการให้ลูกกินข้าวนั้น พ่อแม่ ควรจะ

เข้าใจพัฒนาการและการให้อาหารเสริมที่เหมาะตามวัย ไม่ต้องบด หรือปั่นละเอียดเมื่อลูกเริ่มมีฟันขึ้น
เน้นให้อาหารที่มีคุณค่า และให้พลังงานสูง เช่น อาหารพวกโปรตีน ไข่ เนื้อสัตว์ นม รวมทั้งอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง และตักให้ลูกแต่พอดี
ให้ลูกกินเอง ยอมให้หกเลอะเทอะได้บ้างเพื่อพัฒนาการเรียนรู้
กำหนดเวลาอาหารในแต่ละมื้อ ไม่ควรเกิน 30-45 นาที โดยให้กินร่วมกับผู้ใหญ่ ซึ่งจะเป็นแบบอย่างของการกินที่เหมาะสม และขณะกินข้าวไม่ควรมีสิ่งที่จะมาเบี่ยงเบนความสนใจ กินเสร็จจึงค่อยให้เล่น
ควรเปลี่ยนรูปแบบอาหารให้มีสีสันต่างๆ ปัจจุบันมีเมนูสำหรับครอบครัวที่ทำง่าย และพ่อแม่ลูกก็สามารถทำกิจกรรมนี้ร่วมกันได้
แต่ถ้าลูกมีปัญหากินน้อยลงกว่าเดิม หรือน้ำหนักไม่ขึ้น อาจต้องปรึกษาแพทย์

ปัญหาลูกไม่ยอมกินผัก
คุณหมอนลินี ได้กล่าวถึงปัญหาที่ลูกไม่ยอมกินผักว่า สาเหตุมาจากพ่อแม่เองที่ไม่ชอบกินผัก อาหารที่บ้านก็มักจะไม่มีผัก ดังนั้น ต้องปรับที่ผู้ใหญ่ให้กินผักก่อน ลูกจึงจะกินตามไปด้วย นอกจากนั้น เราต้องดัดแปลงผักให้เหมาะสมตามวัยของลูก ควรจัดผักประเภทนิ่ม ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวให้ลูกก่อน เช่น ฟักต้ม ผักโขม ผักกาดขาว แครอท ฟักทอง ถั่วฝักยาว ต้มเปื่อย ใส่ในอาหารให้ลูกเคยชิน หรือจะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ลูกหยิบกินเองก็ได้ ลูกจะได้มีส่วนเลือกและทำด้วยตัวเอง

ปัญหาลูกกินขนมหวาน
พญ.นลินี ระบุต่อไปว่า การให้ลูกกินขนมหวาน ทำให้เกิดฟันผุ โรคอ้วน ยิ่งถ้ากินใกล้มื้ออาหารจะยิ่งทำให้ลูกกินข้าวได้น้อยลง และสิ่งสำคัญที่คุณหมอเพิ่มเติมคือ ถ้าลูกติดรสหวานจากการดื่มน้ำอัดลมมากๆ สารกาแฟอีนจากน้ำอัดลมจะทำให้ตัวเตี้ย และกระดูกบางได้

ดังนั้น วิธีการจัดการกับเรื่องขนมหวานคือ
ไม่ควรให้กินใกล้มื้ออาหาร ควรให้เป็นอาหารว่างระหว่างมื้อ
ดูแลความสะอาดในช่องปาก
พาไปพบทันตแพทย์
ควรให้นมรสจืดแทนน้ำหวาน หรือน้ำอัดลม
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาเทคนิค และวิธีการเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ โครงการพัฒนาคลินิกสุขภาพเด็กดี PCU กทม. โดยสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร และกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำแผ่นพับ และหนังสือ "10 เรื่องเลี้ยงลูกยอดฮิตพิชิตได้" เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่ความรู้และแนะแนวทางที่เป็นประโยชน์สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ลูกวัยแรกเกิด - 5 ขวบ สามารถขอรับเอกสารได้ที่ คลินิคสุขภาพเด็กดี ศูนย์บริการสาธารณสุข กทม. ใกล้บ้านท่าน

ต้องการปรึกษาปัญหาเลี้ยงลูกเล็ก
สามารถโทร. ปรึกษาเจ้าหน้าที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ที่ Call Center 02-354-8333 ต่อ 5002 หรือ 02-354-8945 ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.childrenhospital.go.th

มาทำความเข้าใจพฤติกรรม "วีน" ของลูก

นั่นสิคะ บางครั้งเมื่อลูกรักจอมฉอเลาะ เปลี่ยนมาเป็นร้องไห้โวยวาย เอาแต่ใจตัวเอง พูดกันไม่รู้เรื่อง ห้ามก็ไม่ฟัง แถมดิ้นพราดๆ หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า เกิดอาการ "วีนแตก" คุณพ่อคุณแม่จะทำยังไงกับอาการแบบนี้ดี...

ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการร้ายกาจของลูกเสียก่อนว่า เกิดขึ้นเพราะอะไร และการวิเคราะห์หาสาเหตุได้นั้น ขั้นแรกคือ ต้องเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกเสียก่อนเพื่อศึกษาสาเหตุ และวิธีที่จะปรับพฤติกรรมลูกให้ดีขึ้น
ฉะนั้น จึงอยากชวนคุณพ่อคุณแม่ จดบันทึกพฤติกรรมของลูกรายวัน เมื่อเกิดอาการ "วีนแตก" วิธีการมีดังนี้ค่ะ
จดพฤติกรรมร้ายของลูกที่ต้องการแก้ไข ลงรายละเอียดปลีกย่อยอาการของลูกได้มากเที่ต้องการจด เช่น ลูกปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามเมื่อเราสั่ง, ทุบตี, ร้องโวยวาย, ร้องอยากได้สิ่งที่ต้องการโดยไม่ฟังเสียงใคร, ร้องไห้สะอึกสะอื้น, ร้องตะโกนโหยหวน ฯ จดลงไปเลย
จดบันทึกว่าสาเหตุใดที่ทำให้ลูกเกิดอาการวีน อย่าลืมจดด้วยว่า อารมณ์ของคุณพ่อคุณแม่ขณะเกิดเหตุเป็นอย่างไรด้วยนะคะ เช่น อารมณ์ดี, อารมณ์เครียด - เครียดมาก, เครียดน้อย, หงุดหงิด, พกอารมณ์โกรธมาจากที่ทำงาน หรือมีความสบายใจ ไม่เครียด และหลังจากลูกแสดงอารมณ์วีน แล้วคุณพ่อคุณแม่ทำอย่างไรลูกจึงมีอาการสงบลง หรือ ลูกร้องไห้จนเหนื่อย หยุดร้องไปเอง และหลังจากที่ลูกสงบลง ลูกมีอาการอย่างไร จดด้วยค่ะ
เมื่อจดบันทึกได้สักสองอาทิตย์แล้ว นำมาเปรียบเทียบเพื่อดูรายละเอียดของพฤติกรรมร้ายและหาความสัมพันธ์กัน ว่าเป็นอย่างไร มีสิ่งใดเหมือนกัน มีสิ่งใดต่างกันบ้าง เช่น เวลาที่ลูกชอบแสดงพฤติกรรมร้าย เป็นเวลาอะไร (ช่วงเช้า, บ่าย หรือเย็น) สถานที่? (ที่บ้าน, นอกบ้าน, บ้านญาติ, ตามห้างสรรพสินค้า, โรงเรียน) ขณะที่เกิดอาการวีน ลูกอยู่กับใคร? (พี่เลี้ยง, คุณพ่อ, คุณแม่, ญาติๆ), อะไรคือสาเหตุ? (ไม่อยากไปโรงเรียน, ไม่อยากทานข้าวเช้า, อยากซื้อของเล่น แต่เราไม่ให้ซื้อ, อยากเล่นต่อ แต่เราไม่ให้เล่น, อยากทานไอศกรีมก่อนทานข้าวเย็น แต่เราห้ามฯ) คุณพ่อคุณแม่ทำอย่างไร ลูกจึงมีอาการสงบลง (ยอมทำตามลูก, พูดกับลูกดีๆ อธิบายเหตุผลให้ฟัง, ให้รางวัลลูก, ฯ)
จากนั้น ถามตัวเองว่า ลูกเรียนรู้อะไรจากพฤติกรรมที่เราตอบสนองต่อลูกบ้าง ? ตัวเราเองมีพฤติกรรมที่อยู่กับร่องกับรอยหรือเปล่า? ใช้อารมณ์กับลูกหรือเปล่า?
เมื่อพอจะมองเห็นภาพรวมทั้งหมดของพฤติกรรมร้ายของลูกแล้ว ว่าสาเหตุหลักของลูกคืออะไร สิ่งไหนเป็นการกระตุ้นให้ลูกอารมณ์เสีย แล้วเกิดอาการวีน ผลที่ตามมาเป็นอย่างไร เราทำอย่างไร ลูกจึงจะสงบลง
ดังนั้น บางครั้งเมื่อลูกแสดงอาการวีน คุณพ่อคุณแม่อาจทำเป็นไม่สนใจซะ ยกเลิกรางวัลที่จะให้ เมื่อออกคำสั่งก็หมายความตามนั้นจริงๆ ทำเสียงหนักแน่นเมื่อจะให้ลูกทำตาม หากลูกปฏิบัติตาม และมีพฤติกรรมดีขึ้น ก็พูดชมเชย และให้รางวัลบ้างก็ได้
ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ต้องมีเหตุผลในการห้ามปราม อย่าใช้อารมณ์ และต้องปฏิบัติเหมือนกันทุกครั้ง อย่าทำเพราะวันนี้อารมณ์ดีแลยยอมๆ ลูก อีกวันอารมณ์ไม่ดีก็ตวาด และไม่ให้ลูกทำแบบนั้น เราต้องใช้เหตุผลกับลูกทุกครั้งนะคะ แล้วลูกก็จะเรียนรู้ที่จะเป็นคนมีเหตุผล เหมือนคุณพ่อคุณแม่ค่ะ....


การจดบันทึกพฤติกรรมลูก
ครั้งที่
วันที่ 
พฤติกรรมของลูก 
วิธีแก้ไข
อารมณ์ของเราในตอนนั้น 
บันทึกเพิ่มเติม

เรียนรู้พัฒนาการของลูกรักวัย 6 เดือน - 4 ขวบ

หนูน้อยวัย 6 เดือน

หนูสามารถ:

นั่งเองได้ โดยมีผู้ใหญ่คอยช่วยพยุง

คว่ำหงายได้

อื้ออ้า...และส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากได้

เอื้อมมือคว้าของเล่นและคว้าจับคนที่คุ้นเคยได้

ยิ้มให้เมื่อเห็นใบหน้าของคนคุ้นเคย

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ:

ทำเสียงซ้ำๆ กับทารกวัย 6 เดือนทำ เช่น "หม่ำ หม่ำ...

แล้วจะเห็นว่าลูกคุณยิ่งทำเสียง...อืออา..บ่อยขึ้น

พูดคุยกับลูกขณะป้อนอาหาร อาบน้ำ หรือ ขณะแต่งเนื้อแต่งตัวให้ลูก เพื่อช่วยให้ช่วงเวลาดังกล่าวมีความเพลิดเพลิน สนุกสนานมากขึ้นสำหรับลูก

สอนให้ลูกเรียนรู้ที่มาที่ไปของเสียงที่ลูกได้ยิน ด้วยการพูดคุยกับลูกเพื่อเป็นการบอกเล่าให้ลูกรับรู้ เช่น...
"แน่ะ...เสียงคุณพ่อเรียกลูกแน่ะจ้ะ...."
"ลูกได้ยินเสียงหมาเห่ามั้ยจ๊ะ"
"เสียงกริ่งที่ประตูหน้าบ้านดังจ้ะ ไปดูกันดีกว่าว่าใครมาหาเรา"

หนูน้อยวัย 12 เดือน
หนูสามารถ:

คลานได้และเกาะโซฟาเพื่อพยุงตัวลุกขึ้นยืนเองได้
เลียนเสียงคุณแม่และเลียนแบบสีหน้าของคุณแม่เพื่อแสดงอารมณ์ได้
พูดได้ 2 - 3 คำ
ชอบเล่นเกมจ๊ะเอ๋
เอนตัวหาผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยเพื่อให้ผู้ใหญ่แสดงความรัก หรือเพื่อขอความช่วยเหลือ
มองหาเมื่อคุณแม่ส่งเสียงเรียก
ส่งของเล่นจากมือซ้ายไปยังมือขวาได้ (หรือจากมือขวามายังมือซ้าย)

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ:

ออกเสียงเรียกชื่ออวัยวะพร้อมทั้งชี้ส่วนต่างๆ ของร่างกายให้ลูกรู้จัก เช่น ตา, หู, จมูก, ปาก, หรือ พุงกลม
ให้ลูกนั่งตักเพื่อชี้ชวนกันดูอัลบั้มรูปภาพสมาชิกในครอบครัว คุณแม่ควรส่งเสียงแสดงความตื่นเต้น สนุกสนานเมื่อเห็นรูปภาพที่น่าสนใจ ให้ลูกรู้ว่าเราสนใจ เอาใจใส่ความคิดของลูกน้อย
ให้ลูกได้เคลื่อนไหวและเคลื่อนที่ไปยังส่วนต่างๆ ในบริเวณบ้าน กระตุ้นให้ลูกพยายามคลาน เดินเตาะแตะไปหาของเล่น หรือหาคนคุ้นเคยที่นั่งอยู่ใกล้ๆ คุณแม่ควรให้กำลังใจลูกน้อยด้วยการยิ้ม หรือปรบมือให้ลูก ลูกจะรู้สึกภาคภูมิใจและอยากลองทำอีก

หนูน้อยวัย 18 เดือน

หนูสามารถ:

เดินได้เอง หรือเดินเองได้โดยมีผู้ใหญ่ช่วยพยุงนิดหน่อย

เข้าใจความหมายของคำมากขึ้น แต่ยังพูดได้น้อยกว่าที่เข้าใจ

ร้องขอสิ่งของง่ายๆ ได้ เช่น นม, น้ำ
ต้องการให้ผู้ใหญ่หันมาแสดงความสนใจตัวหนูอย่างใกล้ชิด

ถอดถุงเท้า รองเท้า และถอดเสื้อเองได้

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ:

ปล่อยให้ลูกได้เล่นสนุกกับ น้ำ, ทราย และพรายฟองของน้ำ คุณแม่ควรหาช้อน ถ้วยใบเล็ก และที่ตัก ให้ลูกได้รินน้ำ เทน้ำ เติมน้ำ กรอกน้ำจนล้นขวด แล้วเทน้ำออกจากขวด เล่นสนุกกับการตีน้ำให้กระจาย เป็นต้น
เมื่อออกไปข้างนอก หรือไปสถานที่แปลกตา คุณแม่ควรให้เวลากับลูกในการสำรวจผู้คน และสิ่งของต่างๆ เพราะลูกน้อยกำลังอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในอาชีพต่างๆ เช่น บุรุษไปรษณีย์ ตำรวจ พนักงานขายของ พนักงานขับรถเมล์ หรือสิ่งของต่างๆ เช่น กระดาษห่อของ, หรือสัตว์ อย่าง ผีเสื้อและแมลงต่างๆ (ที่ไม่มีพิษ) ปล่อยให้ลูกสนุกกับการค้นพบสิ่งแปลกใหม่ในชีวิต!
หนูน้อยวัย 18 เดือนนี้ กำลังเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ และสามารถทำอะไรเองได้หลายอย่างมากขึ้นทุกวัน หนูน้อยเพลิดเพลินกับการเลียนแบบท่าทางของผู้ใหญ่และกิจวัตรประจำวันของคุณแม่ เช่น โยกย้ายส่ายสะโพกเมื่อได้ยินเสียงเพลง, ทำท่ากำลังรับประทานอาหาร, ทำนิ้วเคลื่อนไหวไปมา
นอกจากนั้น ลูกวัยนี้ยังชอบเลียนแบบคำพูดของคุณแม่อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นคำกลอนดอกสร้อยง่ายๆ ที่คุณแม่มักท่องให้ฟังเป็นประจำ, เรียกชื่อสมาชิกในครอบครัว, ส่งเสียงบรื้นๆ เลียนแบบเสียงรถของเล่น หรือแม้กระทั่ง เลียนเสียงสัตว์ต่างๆ เช่น เสียงสุนัขเห่าบ็อกๆ หรือ โฮ่งๆ เสียงแมวร้องเหมียว เหมียว เสียงลูกหมูร้องอู๊ด อู๊ด เป็นต้น

หนูน้อยวัย 2 ขวบ

หนูสามารถ:

ประสมคำ 2 คำเข้าด้วยกันเพื่อพูดเป็นประโยค เช่น "นมอีก", "พ่อ - บ้าน" (ลูกหมายถึง คุณพ่ออยู่บ้าน)
แทนชื่อตัวเองได้เมื่อพูดถึงตัวเอง

เดิน วิ่ง กระโดด และโยนลูกบอลได้

ชอบทำอะไรด้วยวิธีของตัวเอง และ เอ่ยคำว่า "ไม่" บ่อยขึ้น

ชอบเล่นกับเด็กอื่น แต่ยังไม่ยอมแบ่งปันของเล่นด้วย

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ:

เมื่อพาลูกไปเดินเล่น ลูกจะชอบและสนุกกับการออกไปชมนกชมไม้นอกบ้าน บางครั้งอาจเที่ยวปีนป่ายเครื่องเล่น หรือสิ่งต่างๆ ขณะที่ยังจับมือคุณพ่อคุณแม่อยู่ นั่นถือว่าคุณแม่กำลังกระตุ้นให้ลูกได้ทดลองสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตของลูกเลยทีเดียว
แม้ว่าลูกน้อยวัยนี้จะพูดคำว่า "ไม่" บ่อยขึ้น แต่ควรปล่อยให้ลูกวัย 2 ขวบรู้ว่า คุณกำลังฟังเขาอยู่ แม้ว่าไม่อาจทำตามสิ่งที่ลูกต้องการได้ก็ตามที
"แม่รู้ว่าหนูกำลังสนุก อยากอยู่เล่นต่อ แต่เราต้องกลับบ้านเดี๋ยวนี้แล้วล่ะจ้ะ" หรือ
"จ้ะ แม่รู้ว่าลูกอยากกินขนม 2 ชิ้นนี้ แต่ลูกทานได้แค่ชิ้นเดียวเท่านั้นจ้ะ"
ลูกจะเรียนรู้ว่าคุณแม่ใส่ใจความรู้สึก และความต้องการของลูก รู้ว่าตัวลูกเป็นคนสำคัญของคุณแม่ ทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่นกับความรัก และความเอาใจใส่ของคุณแม่

หนูน้อยวัย 3 ขวบ

หนูสามารถ:
เดินขึ้นบันไดสลับเท้าได้เหมือนผู้ใหญ่ แต่ยังต้องจับราวบันได

ชอบพูดคุยถึงสิ่งที่ตัวเองรู้ และเล่าเรื่องสมมุติได้

เข้าห้องน้ำระหว่างวัน

รู้ความแตกต่างระหว่างเด็กชายและเด็กหญิง

เริ่มรู้จักแบ่งปันของเล่น และรู้จักเล่นกับเด็กคนอื่น

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ:
เด็กวัยนี้มักชอบเลียนแบบกิจกรรมในชีวิตประจำวันของคุณพ่อคุณแม่ เช่น พับผ้า ล้างจาน กวาดบ้าน ล้างรถ ถูพื้น ถึงแม้ว่าลูกอาจยังไม่สามารถทำกิจกรรมเหล่านี้ได้จริงๆ แต่ควรปล่อยให้ลูกมีโอกาสช่วยงานประจำวันเหล่านี้บ้างเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสำคัญขึ้นมาทันที

ให้โอกาสลูกน้อยวัย 3 ขวบ ได้เลือกกิจกรรมเองว่าลูกอยากทำอะไร

"ลูกอยากระบายสี หรือว่าเล่นโยนลูกบอลกันดีจ๊ะ"

"ลูกอยากใส่อะไรก่อนหลังจ๊ะ ระหว่างถุงเท้า กับเสื้อ"

คุณแม่อาจช่วยลูกน้อยตัดสินใจเกี่ยวกับพฤติกรรมในแง่บวก เช่น

"ถ้าลูกอยากเล่นของเล่นในกะละมังใส่น้ำนี่ล่ะก็ เราต้องออกไปเล่นข้างนอกกันจ้ะ

ไม่อย่างนั้นพื้นตรงนี้จะเปียก"

การช่วยลูกตัดสินใจจะช่วยให้ลูกรู้สึกดีขึ้น สร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้ลูก และลูกจะรู้สึกประสบความสำเร็จ ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้

หนูน้อยวัย 4 ขวบ

หนูสามารถ:

กระโดดขาเดียวได้ รับลูกบอลได้ เมื่อคุณแม่โยนลูกบอลให้

ร้องเพลงง่ายๆ ได้ และท่องบทคล้องจองสำหรับเด็กได้

วาดรูปใส่กระดาษด้วยดินสอเทียน

พูดให้คนอื่นเข้าใจได้
ชอบเล่นบทบาทสมมุติ เช่น อาจเล่นเป็นคุณหมอ คุณครู พยาบาล ตำรวจ ทหาร ฯ แต่บางครั้งยังแยกไม่ออกระหว่างเรื่องจริงกับบทบาทสมมุติ

สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ:

รวบรวมเสื้อผ้าที่เลิกใช้แล้ว และเครื่องประดับต่างๆ เช่น สร้อยคอ กำไล อุปกรณ์แต่งตัวต่างๆ เช่น หมวก ถุงเท้า ฯ ใส่ในกล่อง หรือตะกร้าสำหรับลูก ลูกน้อยจะสนุกสนานในการเล่นเลียนแบบเป็นบุคคลต่างๆ เช่น คุณครู คุณหมอ พยาบาล นักเต้น นักขับรถแข่ง ฯ หรือแม้กระทั่งเล่นเลียนแบบทำท่าเป็นตัวคุณแม่เอง - ถ้าคุณแม่เล่นกับลูกด้วยจะยิ่งเพิ่มความสนุกสนานให้ลูกมากขึ้นไปอีก!
ลูกวัยนี้สนุกกับการเล่าเรื่องสมมุติให้คุณแม่ฟัง คุณแม่ควรพิมพ์นิทานหรือเรื่องเล่าสมมุติที่ลูกเล่าให้ฟังใส่กระดาษ และหารูปภาพติดประกอบ เพื่อเพิ่มความน่าสนุกให้นิทานที่ลูกแต่งขึ้น
จากนั้น นำไปใส่กรอบและติดที่ผนังบ้าน เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวทุกคนได้เห็น เป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้ลูก เมื่อมีญาติพี่น้องมาเยี่ยม ขอให้ญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย คุณน้า คุณป้า พี่ๆ ถามไถ่ ให้ลูกเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่ลูกแต่งขึ้น
เมื่อลูกต้องการความช่วยเหลือจากคุณแม่ คุณแม่ควรให้ความร่วมมือช่วยกันแก้ปัญหา เช่น
"ใช่จ้ะ แม่เห็นของเล่นลูกหักไปนิดหนึ่ง ลูกว่าเราจะช่วยกันซ่อมได้มั้ยจ๊ะ" หรือ
"เรานั่งกันอยู่ 3 คน แต่มีขนมแค่ 2 ชิ้น ลูกว่าเราควรจะทำอย่างไรกันดีจ๊ะ"
การได้ใช้เวลาเฝ้าติดตาม เอาใจใส่พัฒนาการของลูกน้อย นับเป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นและมีความสุขสำหรับพ่อแม่อย่างเราๆ ยิ่งได้เห็นลูกมีความก้าวหน้าในพัฒนาการด้านต่างๆ ยิ่งชื่นใจ
อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ควรตระหนักว่า เด็กแต่ละคนอาจเติบโตและมีพัฒนาการที่แตกต่างกันไปบ้าง บางคนอาจมีพัฒนาการช้ากว่าเด็กวัยเดียวกันบ้างแต่ก็เจริญเติบโตและมีพัฒนาการตามปกติเมื่อถึงเวลา หากคุณพ่อคุณแม่มีข้อกังวลเกี่ยวกับพัฒนาการของลูก ควรปรึกษาแพทย์

เทคนิคจูงใจให้ลูกรับประทานอาหาร

เด็กวัยนี้บางคนมีอาการเบื่ออาหาร เพราะกำลังสนใจสิ่งใหม่ๆรอบตัว จึงมักไม่สนใจเรื่องกิน เป็นสาเหตุให้พ่อแม่หงุดหงิด ทำให้บรรยากาศความอร่อยของการกินลดลง ดังนั้น เพื่อจูงใจให้ลูกกินอาหารอย่างเป็นสุข จึงมีคำแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ดังนี้


สอนให้ลูกรู้ว่าอาหารที่ไม่มีประโยชน์นั้นมีอะไรบ้าง เช่นขนมกรุบกรอบ ลูกอม ขนมหวาน และชี้ให้ลูกเห็นโทษของอาหารที่มีประโยชน์ ด้วยการใช้นิทานเป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ลูกฟังทางอ้อม

เตรียมอาหารที่ลูกชอบ จัดอาหารให้ให้มีสีสันน่ารับประทาน โดยคำนึงถึงคุณค่าทางอาหารและรสชาติ

จัดอาหารหลากหลายชนิดให้ลูกรับประทาน เพื่อหลีกเลี่ยงการทานอาหารชนิดเดียวซ้ำๆ เพื่อให้ลูกรู้จัก
อาหารมากขึ้น และฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหารให้ละเอียด เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดีและย่อยง่าย

ฝึกลูกให้รู้จักรับประทานอาหารเอง แรกๆ อาจเลอะเทอะบ้าง ต่อไปลูกจะคุ้นเคยกับการกินอาหารเอง

ฝึกให้ลูกกินอาหารเป็นเวลา จัดเวลาอาหารแต่ละมื้อให้เหมาะสม ให้ลูกคุ้นเคย ควรสร้างบรรยากาศในการกิน โดยปราศจากสิ่งรบกวน ที่ดึงดูดความสนใจออกจากอาหาร เช่น โทรทัศน์ ควรปิดโทรทัศน์ระหว่างทานข้าว เป็นต้น

ไม่บังคับขู่เข็ญให้ลูกกิน ถ้าลูกไม่กิน ควรพูดจาชักจูงถึงประโยชน์ของอาหาร สร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการกิน เช่น กินแล้วร่างกายแข็งแรง

จัดให้มีการรับประทานอาหารร่วมกนพร้อมหน้าพร้อมตาในครอบครัว ทำบรรยากาศให้ผ่อนคลาย อบอุ่นสร้างความใกล้ชิดสนิทสนมที่ดีระหว่างกันในครอบครัวด้วย

ชวนลูกให้มีส่วนร่วมในการจัดโต๊ะอาหาร เช่น วางช้อนส้อม รวมทั้งชวนไปตลาดเพื่อเลือกซื้อผัก ผลไม้ และวัสดุในการประกอบอาหาร ช่วยหยิบจับร่วมทำกับข้าวในครัว เท่าที่จะทำได้ เช่น เด็ดผัก เพื่อช่วยให้ลูกสนุก สนใจ และให้ความสำคัญกับอาหารมื้อนั้น

สอนลูกรักให้รู้จักความรับผิดชอบต่อสังคม

คุณพ่อคุณแม่ทุกคนย่อมอยากเห็นลูกรักเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อสังคม รู้จักแยกแยะความชั่วร้ายและความดีงาม อยากให้ลูกมีความรู้สึก มีความคิด และมีการกระทำที่ รู้จักรักและ ให้เกียรติคนอื่น เท่าๆ กับที่รู้จักรักและให้เกียรติตัวเอง

การที่ลูกจะมีคุณสมบัติดังกล่าวย่อมต้องอยู่ที่ฝีมือการเลี้ยงดู และได้รับการอบรมกล่อมเกลาจากคุณพ่อคุณแม่นั่นล่ะค่ะ
ก่อนอื่น ลูกควรเรียนรู้ว่า ความรู้จักรับผิดชอบ เป็นอย่างไร
1. รู้จักให้เกียรติผู้อื่น และรู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
2. ฝึกฝนตนเองให้มีความซื่อสัตย์อยู่เสมอ
3. กล้าที่จะยืนหยัด และแสดงออกในจุดยืนที่ตนเชื่อมั่น
4. รู้จักรัก นับถือ และให้เกียรติตนเอง
ข้อแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่พึงปฏิบัติต่อลูกๆ เพื่อช่วยให้ลูกมีความรู้สึกรับผิดชอบต่อสังคมและคนรอบข้าง
1. คอยหาโอกาสเหมาะๆ ที่จะสอนลูกให้มีความรู้สึกรับผิดชอบต่อสังคมและคนรอบข้าง ด้วยการ แบ่งปันประสบการณ์ที่ผ่านมาให้ลูกฟังเกี่ยวกับศีลธรรมจรรยา คุณธรรมความดีงาม ความถูกต้องตามคำนองคลองธรรม และบทเรียนสอนใจต่างๆ
2. เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกในการแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นด้วยความจริงใจ รู้จักเอาใจใส่คนรอบข้างที่มีเรื่องทุกข์ใจ
3. อ่านนิทานที่มีบทเรียนสอนใจให้ลูกฟัง ถึงความกล้าหาญของคนที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม
4. พูดคุยกับลูกเกี่ยวกับการตัดสินใจในเรื่องที่ยุ่งยาก ซับซ้อน เพื่อช่วยให้เด็กๆ เข้าใจว่า การตัดสินใจกระทำการบางอย่างของลูกอาจสร้างความเดือดร้อนให้สังคมและคนรอบข้างได้
5. พบและพูดคุยกับครูประจำชั้น เพื่อให้ความร่วมมือกับคุณครูเพื่อส่งเสริมให้ลูกมีความรู้สึกรับผิดชอบต่อสังคมและคนรอบข้าง
เทคนิคการส่งเสริมให้ลูกรักโตขึ้นอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและคนรอบข้าง
สำหรับลูกวัยหนูน้อย
ความซื่อสัตย์เป็นนโยบายที่ดีที่สุด
1. เล่านิทานเรื่อง "เด็กเลี้ยงแกะ" ให้ลูกฟัง เป็นนิทานเกี่ยวกับผลร้ายของความเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ เนื่องจากเด็กเลี้ยงแกะพูดเท็จหลายครั้งหลายหนว่า หมาป่าจะมากินลูกแกะที่ตนดูแลอยู่ ทำให้ชาวบ้านละทิ้งงานพากันวิ่งมาช่วยเด็กเลี้ยงแกะ แต่กลับถูกเด็กเลี้ยงแกะหัวเราะเยาะ ที่หลอกชาวบ้านสำเร็จ ต่อมา เมื่อเด็กเลี้ยงแกะบอกว่า มีหมาป่ามากินแกะจริงๆ กลับไม่มีใครเชื่อ และมาช่วยเหลือได้ทัน
2. ถามลูกว่า ถ้ามีใครมาโกหกลูก พูดปดกับลูก ลูกจะรู้สึกอย่างไร
3. เมื่อคุณพ่อคุณแม่สัญญาสิ่งใดไว้กับลูก แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตามที ควรรักษาคำพูดและ ทำตามสัญญาที่ให้กับลูกไว้
สำหรับลูกวัยประถมขึ้นไป
มอบหมายงานให้ลูกรับผิดชอบ
1. เมื่อลูกโตขึ้น ควรมอบหมายงานบ้านบางอย่างให้ลูกทำและรับผิดชอบ
2. เมื่อลูกโตขึ้นมาอีกนิด มอบหมายหน้าที่เพิ่มให้ลูกรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน หรือ ภาระบางอย่างที่ลูกพอจะทำได้ เช่น โทรศัพท์จองร้านอาหาร จดบันทึกบัญชีรับจ่ายประจำบ้าน ฯ อย่าลงโทษลูกด้วยการให้ทำงานบ้าน
ในทางกลับกัน ควรอธิบายให้ลูกทราบว่า การที่ลูกได้รับมอบหมายงานบ้านเพิ่มขึ้นนั้น เป็นเพราะลูกโตขึ้น มีความสามารถมากขึ้น และลูกสามารถรับผิดชอบงานได้มากขึ้น
3. หน้าที่หรืองานที่มอบหมายให้ลูกทำนั้น ควรเหมาะสมกับความสามารถของลูก และควรเป็นงานที่ทำให้ลูกรู้สึกพอใจที่ได้ทำงานชิ้นนี้ เมื่อลูกทำสำเร็จ ควรชมเชยลูกโดยที่งานดังกล่าวควรเป็นงาน ที่ต้องใช้ความพยายามและท้าทายลูกพอสมควร
สำหรับเด็กทุกวัย
เรียนรู้จากผู้อื่นบ้าง
1. คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก สอนให้ลูกรู้ว่า การเย่อหยิ่งยโส ดูถูกผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะคนเราทุกคนย่อมมีความเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมีฐานะความเป็นอยู่อย่างไร ยากจน หรือร่ำรวย พื้นเพ ภูมิหลัง สีผิว ศาสนา เพศ ฯ เราทุกคนเท่าเทียมกัน
2. คุณพ่อคุณแม่ควรแสดงความกระตือรือร้น และสนใจที่จะเรียนรู้จากผู้อื่นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นจากญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน ผู้สูงอายุ หรือจากหนังสือ และสื่อต่างๆ ที่ให้ความรู้ เกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณีในท้องถิ่นของตน และท้องถิ่นอื่น
3. คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกได้เรียนรู้เกี่ยวดินแดนในแถบประเทศอื่น รวมถึงผู้คนที่อยู่อาศัยในประเทศนั้นๆ เรียนรู้ภาษาอื่นบ้างนอกจากภาษาไทย อ่านหนังสือ นิทานนานาชาติ รวมทั้งหนังสือเกี่ยวกับเด็กที่อยู่ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เป็นการแสดงให้ลูกเห็นว่า คุณพ่อคุณแม่เองพยายาม ที่จะมองโลกจากมุมมองของคนอื่นที่อยู่ต่างถิ่น
4. ตั้งใจฟังลูกพูดเมื่อลูกต้องการอธิบายและเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ลูกค้นพบไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ สังคม ภูมิศาสตร์ ศาสนา ศิลปะ และวิถีชีวิตของผู้คนต่างๆ ในท้องถิ่นและต่างถิ่น
ช่วยกันปลูกฝังคุณสมบัติดีๆ แก่ลูกน้อยกันนะคะ สังคมจะได้น่าอยู่มากขึ้น

สอนลูกรักให้รู้จัก "เวลา"

...มาแล้วค่ะ กิจกรรมสำหรับสอนลูกน้อยให้รู้จักเวลา


ชื่อกิจกรรม: "เวลาเดินทางตลอดเวลา"
กิจกรรมหรือเกมนี้จะช่วยให้เด็กๆ เห็นถึงความแตกต่างระหว่าง "วินาที" และ "นาที" ซึ่งจะช่วยให้ลูกรักตรงต่อเวลา และเข้าใจในเวลาที่คุณแม่เร่ง ให้ทำกิจกรรมเร็วๆ เพื่อจะไปทันโรงเรียน หรือ ไม่สายเมื่อต้องออกจากบ้านไปธุระข้างนอก

สิ่งที่คุณต้องเตรียม:
- กระดาษ

- ดินสอ

- นาฬิกา 1 เรือน เช่น นาฬิกาปลุก, นาฬิกาจับเวลา

- นาฬิกาอีก 1 เรือน ประเภทนาฬิกาข้อมือหรือนาฬิกาทั่วไปที่มีเลข 1 - 12 และมีเข็มบอกวินาที
ชวนลูกมาเล่นเกมกัน:
บอกให้ลูกจ้องดูเข็มนาฬิกาของวินาทีที่เดินไปครบ 5 วินาทีแล้วจะติ๊กนิดหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ให้ลูกนับ 1 - 5 ตามเข็มวินาทีขณะที่เข็มวินาทีกำลังเดิน
ทีนี้บอกให้ลูกตบมือภายใน 30 วินาทีในระหว่างที่เข็มวินาทีกำลังเดินให้ครบ 30 วินาที เมื่อครบ 30 วินาที ถามลูกว่า ลูกตบมือไปกี่ครั้ง แล้วผลัดกันให้ลูก เป็นฝ่ายดูเข็มวินาทีเดิน 30 วินาที แล้วคุณแม่เป็นฝ่ายตบมือ ให้ลูกถามคุณแม่ว่า ใน 30 วินาทีคุณแม่ตบมือไปกี่ครั้ง
ลองทายกันดูเล่นๆ ว่า กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่ลูกพบเห็นแต่ละ กิจกรรมนั้น ใช้เวลานานเท่าไหร่ กี่วินาที หรือกี่นาที เช่น: รถติดไฟแดงนานเท่าไหร่ (ให้ลูกลองจับเวลา โดยการดูเข็มวินาทีเดิน)
วันนี้เราทานอาหารมื้อเย็นใช้เวลานานเท่าไหร่
เช้านี้ ตั้งแต่ลูกตื่นนอน เราใช้เวลาเตรียมตัวนานเท่าไหร่ กว่าจะออกจากบ้าน ไปโรงเรียน
ลูกแปรงฟันใช้เวลานานเท่าไหร่
ลองให้ลูกเดา หรือช่วยกันเดากับคุณแม่ แล้วให้ลูกดูนาฬิกาว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ เวลาที่ได้ใกล้เคียงกับที่ลูกเดาไว้มั้ย
คราวนี้ให้คุณแม่อ่านหนังสือให้ลูกฟัง 3 นาที (ระหว่างนั้นคุณแม่จับเวลาไปด้วย) แล้วเปลี่ยนมาอ่านให้ลูกฟัง 5 นาที และเลื่อนมาเป็นอ่านให้ฟัง 10 นาที ลูกจะเริ่มรู้ว่า 3 นาที อ่านมาถึงตรงนี้ และ 5 นาที อ่านมาถึงตรงนี้ และ 10 นาทีคุณแม่จะ อ่านได้หลายหน้า
เกมนี้จะช่วยให้ลูกเรียนรู้ว่า กิจกรรมแต่ละอย่างใช้เวลาไม่เท่ากัน บางกิจกรรมใช้เวลานานกว่า บางกิจกรรมใช้เวลาสั้น และช่วยให้ลูกเข้าใจว่า บางครั้งในบางกิจกรรมต้องเวลานาน กว่าที่จะทำสำเร็จ ดังนั้น ลูกต้องหัดวางแผนล่วงหน้า ไม่ควรโอ้เอ้ และจะทำให้ลูก มีความตั้งใจทำกิจกรรมนั้นๆ อย่างจดจ่อมากขึ้นอีกด้วย

เนื้อเพลง เพลงขอโทษแล้วหายเจ็บไหม

แต่ละนาทีที่ฉันต้องอยู่ เธอคงไม่รู้มันยากเหลือเกิน


เมื่อเธอไปมีรักใหม่

บอกตัวเองให้ฝืนหายใจ กอดเก็บความช้ำเอาไว้ทุกวัน

จนชินกับความเดียวดาย



* แค่เธอย้อนมากับคำว่าเสียใจ

มันพอหรือไง ลบล้างที่ฉันต้องเจอ

สิ่งที่เธอถามกันมา ยกโทษให้เธอได้ไหม

อยากตอบเธอกลับด้วยหนึ่งคำถาม



** ขอโทษแล้วมันหายเจ็บไหม ตอบฉันหน่อยหายเจ็บไหม

กี่หยดน้ำตา เมื่อวานที่มันต้องไหล

หัวใจฉันมันร้าวหมดแล้ว แหลกจนไม่เหลือให้เริ่มใหม่

แก้วที่มันร้าวต่อคงไม่ไหว

ไม่ผิดใช่ไหมถ้าฉันเจ็บแล้วจำ



ต่อให้แววตาคู่นั้นของเธอ

ที่เจอวันนี้จะเหมือนรับผิด

และดูจริงใจทุกอย่าง

แต่อดนึกถึงไม่ได้จริงๆ

ภาพเธอวันนั้นที่ทิ้งกันไป ไม่มองกลับมาซักครั้ง



ซ้ำ *,**,**



เข้าใจไหมเธอ คนมันเจ็บแล้วจำ

เพลง ความอดทนของคนที่รอ - ชาช่า


ฟังวิทยุออนไลน์ ที่ izeemusic

เนื้อเพลง เพลงความอดทนของคนที่รอ – ชาช่า

คืนที่เหงาที่สุด คือคืนที่ไม่มีเธออยู่ ในใจฉันรู้


จากนี้ต้องเดียวดาย เจอะตัวเองเหมือนเดิม

กับเงาข้างกาย ไม่มีใครอ้างว้างในใจ คิดถึงเธอ



คืนที่หนาวที่สุด ที่ไม่รู้จะหยุดเมื่อไร

ต้องทนหนาวไป ไม่เห็นแม้แสงดาว

ต้องอดทนเท่าไร กับใจสีเทา

ฉันจะเจ็บ จะเหงาได้นานเท่าไร



* กลัวความเหงา… จะเอาคนอื่นเข้ามา

ความเหงามันบังตา ภาพเธออาจไม่ชัดเจน

กลัวความเหงา… จะแทรกซึมใจเราให้ไหวเอน

ถ้ามีคนอื่นเข้ามาแทน ไม่รู้ทำอย่างไร



** คืนที่เงียบที่สุด ใจเธอนั้นได้ยินอะไร

เป็นเสียงหัวใจ ยังเหมือนเดิมหรือเปล่า

อยากให้รออยู่ไหม บอกใจคนเหงา

กระซิบเบาๆ ให้ฉันได้รู้สักหน่อย



ซ้ำ *,**

ขอแค่บอกแล้วฉันจะรอเธอ..

ลูกน้อยวัย 1 เดือน - 3 ขวบควรนอนวันละกี่ชั่วโมง?

สำหรับคุณแม่มือใหม่อย่างเราๆ ท่านๆ อย่าว่าแต่จะอุ้มลูกอาบน้ำได้คล่องมือเลย แค่เปลี่ยนผ้าอ้อมแต่ละครั้งยังเคอะเขิน ทำไม่ค่อยถูก ใส่ผ้าอ้อมให้ลูกคับไปบ้าง หลวมไปบ้าง แล้วจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ว่าลูกเราต้องนอนหลับนานแค่ไหนจึงจะเพียงพอต่อความต้องการร่างกายของลูก แถมเด็กแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันเสียด้วย เด็กบางคนนอนได้นานสมใจคุณพ่อคุณแม่ แต่บางราย นอนแป๊บเดียว ตื่นซะแล้ว

ตารางแสดงจำนวนชั่วโมงการนอนที่เพียงพอสำหรับเด็กวัย 1 เดือน - 3 เดือน*
เด็กวัย จำนวนชั่วโมงการนอน
กลางคืน จำนวนชั่วโมงการนอน
กลางวัน จำนวนชั่วโมงการนอน
ทั้งหมดใน 1 วัน

เด็ก 1 เดือน กลางวันนอน 7 ช.ม. กลางคืนนอน 8 ช.ม.
เด็ก 3 เดือน กลางวันนอน 5 ช.ม. กลางคืนนอน 10 ช.ม.
เด็ก 6 เดือน กลางวันนอน 3 ช.ม. กลางคืนนอน 11 ช.ม.
เด็ก 9 เดือน กลางวันนอน 3 ช.ม. กลางคืนนอน 11 ช.ม.
เด็ก 12-18 เดือน กลางวันนอน 2 ช.ม. กลางคืนนอน 11 ช.ม.
เด็ก 2 ขวบ กลางวันนอน 2 ช.ม. กลางคืนนอน 11 ช.ม.
เด็ก 3 ขวบ กลางวันนอน 1 ช.ม. กลางคืนนอน 10 ช.ม.

*ข้อมูลจาก หนังสือ Sleep through the Night โดย Jodi Mindell, ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับของเด็กเล็ก

คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลลูกน้อยให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ หากลูกนอนดึก คุณอาจคิดว่าลูกเราเป็นเด็กประเภทนอนน้อย คงไม่เป็นไร การคิดอย่างนี้ไม่ถูกต้อง ลูกอาจเป็นเด็กอดนอนก็ได้
หากลูกมีอาการต่อไปนี้แสดงว่าลูกมีอาการอดนอนแล้วล่ะค่ะ

ขึ้นรถทีไรมักหลับทุกที
คุณต้องเป็นคนปลุกลูกให้ตื่นขึ้นทุกเช้า
ลูกมีอาการ อ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห ในช่วงเวลากลางวัน
หากคำตอบทุกข้อ "ใช่" แสดงว่าลูกของคุณนอนน้อยเกินไปเสียแล้ว คุณควรปรับเปลี่ยนตารางการนอนของลูกใหม่ เข้านอนในเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกน้อยได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
เมื่อลูกโตขึ้น ลูกอาจจะเลิกนอนในช่วงกลางวันและหันมานอนหลับพักผ่อน อย่างเต็มที่รวดเดียวในเวลากลางคืนแทน เด็กวัยอนุบาลและเด็กวัยประถมต้นควรนอนหลับให้ได้ 10 - 11 ชั่วโมงต่อวัน และจะเริ่มลดจำนวนชั่วโมงการนอน น้อยลงไปตามลำดับเมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่น สำหรับเด็กวัยรุ่นควรนอนพักผ่อนให้ได้ 9 - 10 ชั่วโมงต่อวันเพื่อสุขภาพที่ดี

[MV]ความอดทนของคนที่รอ - ชาช่า

อนาคตของ “เน็ตบุ๊ก” แค่ออกสตาร์ต…ก็สะดุด


อนาคตของ “เน็ตบุ๊ก” แค่ออกสตาร์ต…ก็สะดุด อนาคตของ “เน็ตบุ๊ก” แค่ออกสตาร์ต…ก็สะดุด

สถานการณ์ ของตลาด “เน็ตบุ๊ก” ดูจะไม่สดใสเมื่อมีการประเมินสถานการณ์กันเมื่อปีที่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อระดับราคาของโน้ตบุ๊กลดลงมาอย่างฮวบฮาบจนระดับราคาลงมาอยู่ที่ หมื่นต้นๆ ทำให้โอกาสในการทำธุรกิจของเน็ตบุ๊กได้รับผลกระทบไปด้วย
“เน็ตบุ๊ก” ถือเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ของตลาดในการเป็นโน้ตบุ๊กเครื่องที่ 2 สำหรับพกพาไปในที่ต่างๆ แต่ไม่ใช่การทดแทนเครื่องเก่า
 ช่วงปีที่ผ่านมากระแสของ “เน็ตบุ๊ก” นับ ว่าแรงมากเพราะตอบโจทย์ในด้านราคาระดับหมื่นต้นๆ น้ำหนักเบาไม่ถึง 1 กิโลกรัม พกพาสะดวก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อผู้ผลิตคอมพิวเตอร์เกือบทุกรายประกาศเปิดตัว “เน็ตบุ๊ก” หรือ “มินิโน้ตบุ๊ก” กันถ้วนหน้า แบบว่าเป็นตลาดใหม่เนื้อหอมที่ไม่สามารถทิ้งโอกาสไปได้

2 ค่ายที่มุ่งมั่นในการทำตลาด “เน็ตบุ๊ก” อย่างจริงจังก็คือ “อัสซุส” ที่ เป็นผู้บุกเบิกตลาดนี้มาก่อนใคร และอีกรายก็คือ “เอเซอร์” ที่โดดเข้ามาทำตลาดและสร้างกระแสความร้อนแรงให้กับตลาดเน็ตบุ๊กในทันที เพราะด้วยความที่เป็นยักษ์ใหญ่ มีความพร้อมทั้งในแง่ช่องทางการจัดจำหน่าย และสินค้าที่ออกสู่ตลาดให้ลูกค้าเลือกหลายโมเดลและหลากสีสัน ทำให้เอเซอร์ตั้งเป้าที่จะครองอันดับหนึ่งของตลาดเน็ตบุ๊กอีกหนึ่งตลาด
แต่สถานการณ์ตลาดปีนี้เปลี่ยนไป…
” นิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ” ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด กล่าวยอมรับกระแสของเน็ตบุ๊กไม่แรงเหมือนที่คาดหวังไว้ โดยเฉพาะในงาน
คอมมาร์ตเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมายอดขายลดลง 15% เมื่อเทียบกับคอมมาร์ตปลายปีที่ผ่านมา ผลจากราคาโน้ตบุ๊กที่ถูกลงทำให้คอนซูเมอร์หันมาซื้อโน้ตบุ๊กแทน และโพซิชันนิ่งของเน็ตบุ๊กเน้นเจาะกลุ่มผู้ต้องการคอมพิวเตอร์เครื่องที่ 2 สำหรับการพกพา ซึ่งไม่เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่คนต้องประหยัดจึงไม่ซื้อสินค้าใหม่ ทำให้การตอบรับไม่ดีเท่าที่ควร
เช่นเดียวกับ “พรเทพ วัชรอำนวย” กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมตลาดเน็ตบุ๊กช่วงต้นปีชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยอีอีอีพีซีของอัสซุสมียอดขายลดลงถึง 30% เมื่อเทียบกับยอดขายช่วงปี 2551 ส่วนหนึ่งเพราะโน้ตบุ๊กมีการปรับราคาลงมาใกล้เคียงกับเน็ตบุ๊ก ปัจจุบันราคาโน้ตบุ๊กต่ำสุดของแต่ละแบรนด์เฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 หมื่นบาท ซึ่งมีให้เลือกหลากหลายรุ่น ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อโน้ตบุ๊กมากขึ้น
นอกจากนี้ตลาด เน็ตบุ๊กยังจำกัดในการใช้งานที่แตกต่างจากโน้ตบุ๊ก โดยเน็ตบุ๊ก ระดับราคา 9,900-12,900 บาท จะเป็น กลุ่มที่ได้รับความนิยม แต่ถ้ารุ่นราคาสูงกว่านี้ก็จะขายยาก
แผนของอัสซุสเพื่อรับมือกับ ปัญหาดังกล่าว คือ การเพิ่มช่องทางจำหน่าย นอกเหนือจากร้านไอที เช่น การนำสินค้าจำหน่ายตามร้านขายสินค้าเอวี, ร้านหนังสือ และร้านขายของเล่นทอย อาร์ อัส เป็นต้น
พร้อมกับปรับแผนการทำตลาด อีอีอีพีซีใหม่ หากเป็นรุ่นเมนสตรีมจะหาวิธีการกระตุ้นตลาดมากขึ้น สำหรับรุ่นไฮเอนด์ก็จะเลือกวางเฉพาะร้านค้าที่เหมาะสม เช่น วางที่ร้านในสนามบินเพื่อเจาะกลุ่มชาวต่างชาติ
สำหรับผู้ผลิตราย อื่นๆ อาจได้รับผลกระทบไม่มากเพราะไม่ได้ทุ่มทำตลาดจริงจัง เพียงแค่มีสินค้าเข้ามาเป็นทางเลือกให้ลูกค้าเพื่อไม่ให้ตกกระแสเท่านั้น
“ถกล นิยมไทย” ผู้ จัดการฝ่ายธุรกิจไอทีของบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัดกล่าวว่าในส่วนของโตชิบาไม่ได้เน้นการทำตลาดเน็ตบุ๊กจึงไม่ได้รับผล กระทบจากสถานการณ์ตลาดที่เกิดขึ้น ความแรงของตลาดเน็ตบุ๊กจะไม่เหมือนกับปีที่แล้วที่เป็นกระแสแฟชั่นมากกว่าดี มานด์จริงๆ และที่สำคัญในปีนี้ผู้บริโภคเข้าใจข้อจำกัดการใช้งานของเน็ตบุ๊กมากขึ้น เพราะทั้งขนาดจอที่เล็กใช้งานไม่สะดวก แถมไม่มีไดรฟ์ ทำให้ ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินเพิ่มอีก 2-3 พันบาทแล้วซื้อโน้ตบุ๊กแทน
อย่าง ไรก็ตาม เน็ตบุ๊กก็ยังมีโอกาสทางการตลาดโดยเฉพาะในตลาดสถาบันการศึกษา “ถกล” กล่าวว่า เน็ตบุ๊กตอบโจทย์ในเรื่องจองการพกพาสะดวกนอกจากเป็นโน้ตบุ๊กเครื่องที่ 2 สำหรับพกพาแล้ว ขณะนี้สถาบันการศึกษาหลายแห่งก็ให้ความสนใจจัดซื้อเน็ตบุ๊กเพื่อแจกให้กับ นักศึกษาสำหรับการเรียนการสอนในระบบอีเลิร์นนิ่ง เพราะอย่างน้อยก็มีต้นทุนต่ำกว่าการซื้อ โน้ตบุ๊ก ขณะที่สะดวกในการพกพาสำหรับนักเรียนนักศึกษา
เช่นล่าสุด ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้จัดซื้อ HP Mini 2140 หน้าจอขนาด 10.1 นิ้ว เพื่อแจกให้กับนักศึกษา และมีอีกหลายๆ แห่งก็อยู่ระหว่างกระบวนการจัดซื้อ
ขณะที่นายภิญโญ สงวนเศรษฐกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายคอนซูเมอร์ บริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้เล่นในตลาดเน็ตบุ๊กจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงแรกที่เข้าสู่ตลาดซึ่งหลายแบรนด์นำสินค้าเข้ามาทำตลาดจำนวนมาก เมื่อประสบภาวะเศรษฐกิจทำให้กำลังซื้อในปัจจุบันลดลง ผู้ค้าบางรายที่สต๊อกสินค้าไว้มีการลดราคาสินค้าเพื่อระบายสต๊อก ราคาโน้ตบุ๊กจึงลดลง แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็สร้างผลกระทบกับยอดขายเน็ตบุ๊กซึ่งมีราคาใกล้เคียงกัน
ที่การแข่งขันมีไม่มากและแบรนด์อื่นเน้นขายสินค้าราคาต่ำกว่า 2 หมื่น ทำให้ได้รับผลกระทบ
โพซิชั่นของเน็ตบุ๊กเน้นเจาะกลุ่มผู้ใช้งานเครื่องที่ 2 ซึ่งเป็นตลาดที่มีการชะลอการซื้อสินค้าหากไม่จำเป็น ขณะที่กลุ่มผู้ซื้อสินค้าเครื่องแรกจะมองหารุ่นโลว์เอนด์มากกว่า รวมถึงในต่างจังหวัดที่ยังไม่ตอบรับเน็ตบุ๊กเท่าที่ควร บวกกับเมื่อสินค้าไม่มีจุดเด่นเพิ่มเติมจึงทำให้ความนิยมเน็ตบุ๊กลดลง โดยกลุ่มผู้ค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ แบรนด์ที่มีส่วนแบ่งในตลาด เน็ตบุ๊ก 30-50%
อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดเน็ตบุ๊กจะชะลอตัวจนกว่าจะมีลูกเล่นหรือมีฟีเจอร์ ใดใหม่ๆ เพื่อมาตอบโจทย์ตลาด โดยเฉพาะด้านดีไซน์ ความสวยงาม เบาบางมากกว่าเรื่องของสเป็ก
สำหรับเลอโนโวมีสินค้าเน็ตบุ๊กเพื่อ เสริมไลน์เท่านั้น จึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยราคาเน็ตบุ๊กเริ่มต้นที่ 9,900-12,900 บาท ส่วนโน้ตบุ๊กราคาต่ำสุดเริ่มต้น 19,900 บาท ทำให้สินค้าไม่ตีตลาดกันเอง และมียอดขายเน็ตบุ๊กคิดเป็น 10% ของยอดขายโน้ตบุ๊กทั้งหมด

มาฟังเพลงใหม่ ๆ กับ DJ.Meemeo